“ทำหน้าให้มันสมกับที่จะออกจากโรงพยาบาลหน่อยสิวะ” จงฮยอนผลักหัวทุย ๆ ของคนที่เพิ่งหายจากไข้หวัดใหญ่หลังจากสตาร์ทรถแล้ว เขาตั้งใจจะส่งคีย์ถึงห้อง และช่วยดูแลในฐานะเพื่อน ดวงตาเลื่อนลอยทำให้จงฮยอนรู้ว่า ไข้ใจของเพื่อนคงรักษาให้หายไม่ได้ง่าย ๆ
มือเล็กเรียวปัดแขนเพื่อนออกด้วยความรำคาญ หากเพื่อนร่างเล็กกลับหัวเราะก๊ากที่คีย์เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว หลังจากอาการทรุดหนักมาเกือบสามวัน
“กูเพิ่งอกหัก…มึงจะให้กูยิ้มร่าเริงเล่นตลกกับมึงเหรอวะ” คีย์บอกเสียงอ่อน แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยที่ยังมีเพื่อนคอยอยู่ข้าง ๆ
“เดี๋ยวก็ดีขึ้น” จงฮยอนผลักหัวเพื่อนอีกที คีย์ยอมโยกไปตามแรงผลักนั้น ก่อนยกมุมปากขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน เขาจึงถามต่อ “แล้วมึงจะง้อมินโฮมันต่อไหม ”
“อือ..”
“แล้วถ้ามันยังงี่เง่าอยู่”
“กูงี่เง่ามาได้ตั้งหลายปี มินโฮยังทนกูได้เลยนี่นา”
“เออ… ไม่มีใครงี่เง่าไปกว่าพวกมึงแล้ว” จงฮยอนเอ่ยยืนยันคำพูดของเพื่อน “ตอนมินโฮรักมึง… มึงก็รักคนอื่น พอมึงเปลี่ยนใจมารักมินโฮ มันก็ทิ้งมึงไป งี่เง่าจริง ๆ”
จงฮยอนเปรยอย่างเซ็ง ๆ แล้วจึงเหลียวมองกระจกข้างตามปกติ รถคู่ใจค่อย ๆ เคลื่อนไปพร้อม ๆ กับดวงตาที่เบิกกว้างของเขา
เจ้าของร่างหนาพ่นลมหายใจแรงออกมา เมื่อภาพทุกอย่างปรากฏชัดเจนต่อหน้า
“ไอ้บ้า…” จงฮยอนพึมพำกับตัวเอง พร้อมสบถเบาด้วยความหงุดหงิดใจ และยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก เมื่อคนที่นั่งเหม่อลอยเอ่ยขึ้นมา
“กูเข้าใจมินโฮ… ถ้าเป็นกู กูก็คงไม่ทนเหมือนกัน”
ดวงตาของคีย์แดงก่ำ หากริมฝีปากกลับเม้มสนิทราวกับกำลังห้ามไม่ให้น้ำใส ๆ ไหลลงมาแข่งสายฝนภายนอก
“กูจะรอ…”
เสียงของคีย์หนักแน่นจนจงฮยอนอยากให้คนที่ยืนมองพวกเขาจากเบื้องหลังเมื่อครู่ได้ยิน ไอ้คนร่างสูงที่ปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไป แต่ไม่เคยมีสักวันที่ทิ้งคนป่วยไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียว แม้ว่าคีย์จะไม่เคยได้มีโอกาสเห็นก็ตาม
“รอให้มันกลับมาเหรอ”
คีย์ส่ายหน้าปฏิเสธประโยคนั้น เสียงของเขาสั่น…
“กูจะรอให้มินโฮเชื่อ… เชื่อใจความรักของกู” คีย์แค่นหัวเราะ…ปลายนิ้วคลึงอยู่บนแหวนเนื้อเกลี้ยงที่สวมอยู่บนนิ้วนาง “มันคงจะดีนะ.ถ้ามีวันนั้น”
“แล้วพี่ซึงอยอนของมึงล่ะ”
“มึงเคยไหม รักใครคนนึงมาก ๆ …รักครั้งแรกที่แสนประทับใจ ผ่านไปนานแค่ไหนหัวใจก็ยังเต้นแรงทุกครั้งคิดถึงเขา แต่มึงรู้อยู่แก่ใจว่ามึงคบกับเค้าไม่รอด ไม่ว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้” คีย์อธิบายด้วยเสียงเบาหวิว แทบจะไม่ดังไปมากกว่าเสียงกระซิบ
“กูรู้สึกกับพี่ซึงฮยอนแบบนั้น… ”
“แล้วมินโฮล่ะ” จงฮยอนโพล่งขึ้นมา “มินโฮเป็นอะไรของมึง”
คีย์มองไปยังสายฝนที่กำลังตกกระหน่ำลงมาข้างนอกกระจก ที่ปัดน้ำฝนยังคงทำงานอย่างเป็นจังหวะ ฝนจากพายุที่พัดกระหน่ำเข้าโซลมาหลายวัน
ฝนที่มินโฮเคยกางกั้นไม่ให้เปียกเขาอยู่เสมอ
ความรักของมินโฮ คอยปกป้องคีย์อยู่เสมอ
“มินโฮเป็นทุกอย่างของกู… ”
“พวกมึงนี่มันงี่เง่า…โคตรจะงี่เง่า ไม่เคยเห็นใครงี่เง่าเท่าพวกมึงสองคนมาก่อนจริง ๆ ” จงฮยอนพ่นลมออกมาคล้ายจะเอือมระอาความคิดนั้น ก่อนเอ่ยด้วยประโยคที่ทำให้ทำนบน้ำตาของคีย์พังลงมา
สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด…ไม่ใช่การถูกปฏิเสธความรัก ไม่ใช่การไม่รู้ว่าเรารักกันแค่ไหน
คำว่ารักไม่ได้เอ่ยยากเลยสักนิด มันง่ายกว่าการประคองความรักให้ไปตลอดรอดฝั่งเสียอีก
แต่เรื่องที่เจ็บที่สุดก็คือ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารักกัน แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ทำให้เรื่องทุกอย่างกลับไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้
“รักกันแท้ๆ แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ งี่เง่าจริง ๆ”
คีย์เพิ่งสำนึกในตอนนี้
ความจริงแล้ว
‘รัก’ มันไม่ใช่ทุกอย่างจริง ๆ
ขาดเธอไปสักคนนึง ฉันหลงทาง
แสนอ้างว้าง โง่เขลา
ลมหายใจ อ่อนลง
และฉันคงเป็นไปอีกนาน …แสนนาน
โปรดบอกทีว่าฉันควรทำเช่นไร เมื่อไม่มีเธอ[1]
‘วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สทำเค้กแล้วล่ะ
อาจารย์บอกว่าจะสอบด้วยเค้กก้อนสุดท้าย แถมบอกด้วยว่าจบคอร์สนี้ก็ไปเปิดร้านขายเองได้แล้ว ㅋㅋ
ถ้าฉันเรียนจบไปแล้วเปิดร้านเบเกอรี่ คุณพ่อคุณแม่จะตกใจหรือเปล่านะ
อาจารย์บอกว่าเค้กของฉันอร่อยมาก ๆ เลยนะ
ถึงไม่อร่อยเท่าที่หมีเคยทำให้ก็เถอะ’
คีย์กวาดตามองข้อความกึ่งบันทึกที่ถูกส่งไปให้อีกคนตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วจึงยิ้มเศร้า ความรู้สึกขม ๆ ไล่ขึ้นมาเกาะอยู่ที่โคนลิ้นอีกครั้งเมื่อพบว่าข้อความอัตโนมัติของระบบขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านเพิ่งมันไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ร่างผอมบางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะชินชากับความรู้สึกนี้ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยเพี่อเยียวยามันอยู่
รสชาติฝาดเฝื่อนที่อยู่ในปากตอนนี้คงเป็นรสเดียวกับที่มินโฮเคยลิ้มรสมาก่อน หัวใจบีบแน่นอึดอัดและหน่วงหนักในอกก็คงเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
น้ำตาของคีย์หยุดไหลมานานแล้ว คีย์มั่นใจว่าป่านนี้มันคงรวมตัวกันเป็นตะกอนก้อนหนัก ๆ ที่จมอยู่ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ ทับถมจนทำให้คีย์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเช่นนี้ในทุก ๆ วัน
เขาไม่แน่ใจว่าจะอดทนไปได้อีกนานแค่ไหน…
อดทนเพื่อบอกรักต่ออากาศที่ไม่มีตัวตนเช่นนี้
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นบทลงโทษที่คีย์ต้องชดใช้ไปตลอดชีวิต
“คิบอม มานี่หน่อยเร็ว” คีย์สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงเรียกของอาจารย์เชฟ คีย์หย่อนสมาร์ทโฟนลงในกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วจึงเดินไปหาต้นเสียงด้วยรอยยิ้ม
“ครับ”
“วันนี้วุ่น ๆ หน่อยนะ เพราะจะมีคนมาถ่ายทำบรรยากาศ แล้วก็สัมภาษณ์โปรโมทโรงเรียนเรานิดหน่อยนะ ถ้ายังไงอาจจะให้คิบอมช่วยนิดหน่อยนะ”
“อ้อ… ได้ครับ ให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ”
อาจารย์เชฟวัยสามสิบต้น ๆ หัวเราะเบา และตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ถ้าเค้าถามอะไรก็ตอบ ๆ ไปแล้วกัน ไม่มีอะไรหรอก”
บรรยากาศของการเรียนในวันนั้นค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร ด้วยมีกล้องและอุปกรณ์แปลกตาจำนวนมากถูกขนเข้ามาพร้อมกับสต๊าฟสี่คน แต่ละคนค่อนข้างพิถีพิถันกับดูแลเครื่องมือของตนเอง คงเพราะได้รับการย้ำเตือนอย่างดีว่าทั้งหมดที่จะเข้ามาถ่ายทำคืออาหาร ที่ต้องสะอาดและถูกสุขลักษณ์ พิธีกรหนุ่มวัยรุ่นท่าทางกระตือรือร้นคนหนึ่งเป็นผู้ถือไมค์คอยเข้าไปจ่อปากนักเรียนของโรงเรียนสอนทำขนมที่แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยทำงานและแม่บ้าน แต่สำหรับบางคนที่ไม่ชินกล้องก็พากันยืนอึ้งด้วยความตื่นตะลึง คีย์เตรียมวัสดุอุปกรณ์ของตัวเองอย่างไม่รีบเร่งนัก พลางคิดรูปแบบและส่วนผสมของเค้กที่ตั้งใจจะทำไว้ในหัว วันนี้เป็นเค้กก้อนสุดท้ายที่เขาจะได้ทำที่นี่
เวลาผ่านไปอย่างไม่รีบเร่งนัก คีย์ยังคงมีสมาธิจดจ่อกับงานของตนเอง เขาเริ่มการแต่งหน้าเค้กของตัวเองอย่างไม่รีบเร่ง ความจดจ่อต่อผลงานของตัวเองทำให้ร่างผอมแทบจะไม่สนใจพิธีกรที่ร่อนไมค์ผ่านเขาไปมา กระทั่งงานทั้งหมดเกือบเสร็จเรียบร้อย จึงเริ่มรู้ตัวว่าหนุ่มน้อยร่างสูงที่มีดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์ กำลังยืนรอเขาพร้อมริมฝีปากที่คลี่กว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบของตนอยู่ไม่ห่าง ทั้งมีกล้องตัวยักษ์ตามเก็บการเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดด้วย ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของอีกฝ่ายก็ฉายประกายระยิบระยับ ทำเอาคีย์แอบขำเล็กน้อยกับท่าทางเหมือนสุนัขเชื่อง ๆ นั้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมขอสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ไหมครับ”
“อ้อ..ได้ครับ ขอโทษนะครับที่ทำงานเพลินไปหน่อย”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำ ใบหน้าสดใสเปล่งประกายก้มลงมองเค้กก้อนกลม ๆ ที่คลุมด้วยน้ำตาลฟอนแดนท์ขาวเนียน ข้างบนตกแต่งด้วยหมีที่วาดยิ้มแฉ่งในชุดเชฟ และกางร่มสีฟ้าอยู่ตรงกึ่งกลาง
“น่ารักจริง ๆ ครับ คุณเป็นคนที่น่ารักจริง ๆ นะเนี่ย เค้กน่ารักขนาดนี้เนี่ย” เด็กหนุ่มชมเปาะ พลางกวักมือเรียกกล้องให้ถ่ายอย่างละเอียด
คีย์หัวเราะขำผลงานตัวเอง
“ตอนคิดว่าจะทำก็ขำดีเหมือนกัน น่ารักจนน่าขนลุก ”
“อ้าว.. อย่างนี้แสดงว่าตั้งใจทำไปให้คนน่ารัก ๆ ใช่ไหมล่ะครับ” พิธีกรหน้าใสรีบถามต่ออย่างคล่องแคล่ว หากทำให้คีย์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับในที่สุด
“เค้าชอบทำอะไรน่ารัก ๆ แบบนี้เสมอน่ะครับ… ผมก็เลยอยากลองทำให้เค้าบ้าง”
“นี่เค้กวันเกิดเหรอครับ? 23 กันยา… พรุ่งนี้แล้วนะเนี่ย สุขสันต์วันเกิดเจ้าของเค้กด้วยนะครับ”
“ขอบคุณครับ” คีย์ไม่ปฏิเสธ และกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
23 กันยา… วันเกิด
“แต่นี่… เป็นเค้กวันครบรอบน่ะครับ”
ดื้อเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในวันที่ 23 กันยาของเราเลยนะ
“เค้กครบรอบ?”
“ครบรอบ ครบรอบวันที่คบกัน… ปีที่สี่ครับ”
เจ้าของไมค์ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เด็กหนุ่มมีทีท่าว่าจะถามต่อ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อคีย์เอ่ยอีกประโยคขึ้นมา
“หมายถึง…ถ้าผมกับเค้า…คบกันมาจนถึงวันนี้นะครับ”
…..
ช่วงนี้พายุเข้าอีกแล้ว… ร่มสีฟ้าของเรามันหักเพิ่มอีกหนึ่งซี่แล้วล่ะ
แต่ไม่เป็นไร ยังไงมันก็ยังใช้ได้อยู่เหมือนเดิม
เมื่อไหร่ที่หมีอยากชิมเค้กฝีมือฉันก็กลับมานะ
กุญแจห้องของเรายังไม่เคยเปลี่ยน ถ้าหมีกลับมา…คงจะตกใจแน่ ๆ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะ… ทุกสิ่งทุกอย่างยังรอเจ้าของมันกลับมาเหมือนเดิม ’
ยังไงก็รอหมีนะ.
หนึ่งปีแล้วนะหมี…กลับมาได้แล้ว ฉันยังรออยู่ที่เดิม ไม่เคยไปไหนเลย
หมีล่ะ…ยังเหมือนเดิมอยู่ไหม บอกสักคำสิ คำเดียวก็ได้
ยังรักกันอยู่หรือเปล่า
โปรดอภัยให้ฉันที ที่เผลอไปจนเธอเสียใจ
โปรดอภัยให้ฉันที
ที่เผลอทำให้เธอจากไป
เซงงิลชุกฮา ฮัมนิดา…
คีย์หัวเราะเบาเมื่อได้ยินเสียงเพราะ ๆ ของเพื่อนดังมาตามสัญญาณโทรศัพท์ เขาออกจากโรงเรียนสอนทำขนมค่อนข้างดึก เนื่องจากมีปาร์ตี้เลี้ยงปิดคอร์ส คีย์จึงพยายามมองทางม้าลายตรงหน้าอย่างตั้งใจ เพื่อรอสัญญาณข้ามถนน ฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายหากเป็นหยาดฝนที่ไม่ได้สาดกระหน่ำจนทำให้เขาเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบากนัก ร่มสีฟ้าคันเก่าที่โครงหักไปแล้วสองซี่จึงยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี
“สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าสองชั่วโมงนะมึง”
“รีบอะไรนักหนาวะ ยังไม่เที่ยงคืนเลย” แม้จะรู้สึกขอบคุณกับความใส่ใจของเพื่อน แต่คีย์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดจิกกัดจงฮยอนไปบ้างตามที่เคยชิน
“อ้าว…ไม่ได้ล่ะ กูอยากสุขสันต์วันเกิดมึงเป็นคนแรกบ้าง” เสียงทุ้มนุ่มลอยตามเสียงมาอย่างอารมณ์ดี
“คนไหน ๆ ก็เหมือนกันแหละ กูรู้ว่ามึงรักกู บอกตอนไหนมึงก็ยังรักกูอยู่ดี”
“โหย…มึงนี่มัน ขนลุกว่ะ”
“ขอบคุณนะมึง… ถ้าไม่มึงอยู่ด้วยกูคงแย่ เดี๋ยวว่าง ๆ กูจะเอาเค้กไปฝาก”
“แล้วคืนนี้มึงจะฉลองยังไง ฉลองกับเค้กที่ทำวันนี้น่ะเหรอ”
“เออ.. ” คีย์ตอบรับพร้อมทั้งพยายามก้าวขาเร็วหลังจากสัญญาณไฟเขียวสำหรับคนข้ามถนนแสดงขึ้น แต่ทันทีที่เขาข้ามาถึงอีกฝั่ง คีย์จึงฉุกคิดขึ้นมา “ว่าแต่มึงรู้ได้ไงวะว่าวันนี้กูทำเค้ก”
จงฮยอนหัวเราะดังลั่นจนคีย์หน้าเบ้
“กูก็เดาน่ะสิ ช่วงนี้กูเห็นมึงวุ่น ๆ อยู่กับโรงเรียนสอนทำขนมนี่นา วิญญาณมินโฮมันเข้าสิงเหรอไง ไอ้บ้านั่นงุ่นง่านตลอดเวลาเลยตอนอยู่ญี่ปุ่นเพราะหาที่ทำขนมไม่ได้”
คีย์ชะงักเล็กน้อยกับคำบอกเล่านั้น เพราะตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมมาจงฮยอนเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวของมินโฮและสามารถเล่าให้เขาฟังได้ แต่คำบอกเล่านั้นก็กระตุกหัวใจเขาไม่น้อยเลย
“ก็บอกให้กลับมาสิ… ” คีย์พูดยิ้ม ๆ และถอนหายใจเบา
“มึงร้องไห้อยู่ปะเนี่ย”
“ไอ้บ้า กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
“เออ ดีแล้ว เดี๋ยวว่าง ๆ ขอกูเลี้ยงเจ้าของวันเกิดหน่อยนะ หาเวลามาให้กูด้วยล่ะ จะเข้าเมืองไปหา”
คีย์พยักหน้ารับ จงฮยอนไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดหลายเดือนแล้ว เจ้าหมอนั่นดูมีความสุขและยุ่งกับงานของตัวเองไม่น้อยจนแทบไม่ได้กลับเข้ามาในโซล กว่าจะว่างก็คงอีกพักใหญ่
“เออ…. แล้วของขวัญล่ะ เอาเดี๋ยวนี้เลย อวยพรอย่างเดียวไม่ได้โว้ย” คีย์แกล้งทวง
“โอม…เพี้ยง เสกไปแล้ว ไปรับเอาที่ห้องแล้วกัน”
“ไอ้บ้า อยู่บ้านนอกไปเหอะ”
“แล้วนี่มึงมีแฟนใหม่ฉลองวันเกิดยัง”
คำถามนั้นทำให้คีย์ชาไปทั้งตัว ก่อนพยายามก้าวขึ้นห้องไปพร้อมกับกลืนก้อนขม ๆ ในคอลงไปอย่างยากลำบาก จงฮยอนน่าจะเป็นคนเดียวที่กล้าถามประโยคนี้กับเขา ต่อให้รับรู้มาตลอดก็ตามทีว่าเขายังไม่เคยลืม
คีย์ไม่ตอบอะไร… ด้วยหวังว่าจงฮยอนจะเข้าใจความหมายที่อยู่ในความเงียบนั้น
นับตั้งแต่วันที่ถูกปฏิเสธ มินโฮไม่กลับมาที่ห้องอีกเลย ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าบางส่วนได้รับการไหว้วานให้จงฮยอนมาช่วยขนย้าย การอยู่ด้วยกันมานานทำให้ยากจะแบ่งแยกได้ว่าของแต่ละชิ้นในห้องนั้นใครเป็นผู้ครอบครอง และมินโฮเองก็ไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดนอกจากของใช้ส่วนตัว ทุกอย่างในห้องที่เคยเป็นของคนสองคน ก็ยังคงวางมันอยู่อย่างนั้น รอวันให้ผู้เป็นเจ้าของร่วมกลับมาใช้งานมันอีกครั้ง การจากไปของมินโฮไม่ต่างจากการไปพักค้างคืนต่างจังหวัด ที่ขนไปแค่กระเป๋าเสื้อผ้าและหนังสือเรียน คล้ายว่าไม่กี่วันก็คงกลับมา
แม้ว่าความจริงแล้ว เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
“คีย์.. มึงยังรอมินโฮมันอยู่ใช่ไหม”
คีย์ไม่แน่ใจว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้ยินคำถามนี้มากี่ครั้งแล้ว ทั้งยังไม่แน่ใจนักว่าพยายามแค่ไหนที่จะสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ทุกช่องว่างในหัวใจ
“อือ… ”
แม้ว่าคีย์จะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าโอกาสนั้นจะกลับมาอีกครั้งหรือเปล่า
การเรียนอยู่ในคณะเดียวกันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเรียนในชั้นปีที่สูงขึ้นเท่าไหร่ วิชาเอกและวิชาโทที่เขาลงนั้นก็ทำให้ตารางชีวิตของเขายุ่งยากมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด เป็นเพียงเหตุผลที่คีย์พยายามคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อให้สบายใจเท่านั้น
คีย์รู้ดีว่าแท้ที่จริงแล้วมินโฮจงใจที่จะหลบหน้าเขา และสิ่งที่ตอกย้ำความคิดนั้นได้ดีที่สุด ก็คือการพบชื่อของมินโฮติดอยู่ที่บอร์ดหน้าคณะ จากโครงการทุนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
หนึ่งเดือนหลังจากเลิกกัน มินโฮบินไปญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาทุนแลกเปลี่ยนโดยที่คีย์ไม่มีโอกาสรู้แม้กระทั่งไฟลท์บิน
จงฮยอนขอโทษเขาเสมอกับเหตุการณ์นี้ แต่เขาไม่โทษเพื่อน เพราะคนที่ผิดก็คือเขา
เมื่อสูญเสียคนรัก แต่เพื่อนแท้ของเขายังอยู่ จงฮยอนเป็นเพื่อนที่พร้อมจะดุด่าว่าเขาทันทีที่ทำผิด และช่วยทำให้เขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาทั้งคู่ เกิดอะไรขึ้นกับความรักที่สวนทางกันของคนทั้งสอง
แม้มันจะสายไป แต่คีย์ก็เข้าใจได้มากขึ้น โดยเฉพาะความจริงที่ว่า มินโฮรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาโกหก คีย์ในสายตามินโฮคงไม่ต่างจากเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่มีใครยอมเชื่อใจอีกแล้ว
ในวันที่เด็กเลี้ยงแกะคนนี้พยายามพูดความจริงเป็นครั้งแรก ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
ผ่านไปนานแล้ว หลังจากวันที่พายุฝนกระหน่ำลงมาในชีวิตเขา หากมรสุมครั้งนั้นกลับทิ้งร่องรอยแผลเป็นและซากปรักหักพังของความทรงจำไว้ให้เขาจัดการมากเหลือเกิน มากเสียจนคีย์เองก็คิดไม่ออกว่าจะซ่อมแซมมันเช่นไร
‘ไปหามันไหม เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน’
เพื่อนสนิทยื่นข้อเสนอให้เขาหลายครั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จงฮยอนเป็นเพื่อนคนเดียวที่บอกเขาได้ว่ามินโฮอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร และสบายดีไหม เป็นคนเดียวที่พยายามช่วยให้คีย์ได้แก้ไขทุกอย่างด้วยกันไปที่ญี่ปุ่น ทว่า…คีย์กลับปฏิเสธมัน
เกาหลี – ญี่ปุ่น ไม่ได้ไกลกันเลยสักนิด ความห่างไกลนั้น… เทียบไม่ได้กับหัวใจที่ห่างออกไปของอีกคน ต่อให้คีย์พยายามวิ่งตามไปเท่าไหร่ แต่หากหัวใจมินโฮบินจากเขาไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเรียกร้อง
มินโฮจะกลับมาไหม… เขาไม่รู้ เรื่องของเขาและมินโฮจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกหรือเปล่า… เขาเองก็ไม่แน่ใจ
ยิ่งถามว่า จะรักมินโฮต่อไปอีกนานเท่าไหร่ คีย์ก็ยิ่งตอบไม่ได้
คีย์ไม่กล้าตอบคำถามใด ๆ ด้วยหวังว่าเวลาจะเป็นคนช่วยตอบคำถามนั้นได้
หวังว่าเวลา จะช่วยพิสูจน์ความรักที่เขามีให้มินโฮได้เห็น
หากมินโฮยังไม่เปลี่ยนไป หากความรักที่มีให้เขายังไม่ลดลงจนเหลือศูนย์คีย์ก็ยังมีความหวัง เมื่อมินโฮหันหลังกลับมาและพบว่าเขายืนรออยู่ตรงนี้
ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“มึงจะรออีกนานแค่ไหนวะ”
หากกลับไปวันที่เคย มีกัน
ทั้งฉันและเธอส่งยิ้มมา จากหัวใจ
อยากย้อนเวลาไป … ย้อนไป
ให้หันมา
คีย์ไขกุญแจดอกเดิมที่เคยไข แม้ลูกบิดจะฝืดจนสมควรที่จะเปลี่ยน แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องที่เคยเป็นของเขาสองคน ห้องที่บรรจุความทรงจำและรอยน้ำตาเอาไว้มากมายจนเปี่ยมล้น คีย์ก็ยอมรับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงนั้น
คีย์หวังว่ากุญแจดอกนั้นจะยังคงอยู่ แม้มินโฮจะพยายามส่งมันคืนให้เขามากเท่าไหร่ก็ตาม
หวังว่าสักวัน มินโฮจะเป็นคนไขกุญแจกลับเข้ามาหาเขาอีกครั้ง
“… ก็ …จนกว่าจะรู้สึกว่า ต่อให้ทำยังไง มินโฮก็คงไม่กลับมารักกูแล้วล่ะมั้ง”
ถึงเวลานั้น…คีย์จะเป็นฝ่ายล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา ไม่ให้หัวใจของมินโฮโบยบินไปไหนอีกเลย
เจ็บที่มองเธอเดินไปกลับหลังไป … เจ็บเหลือเกิน
“อ้าว…”
คีย์หัวเสียเล็กน้อยเมื่อพยายามเปิดสวิตช์ไฟหลายครั้ง แต่ไฟในห้องก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสว่าง ร่างผอมบางกวาดตามองรอบ ๆ ห้องด้วยความสงสัย แล้วจึงเดินไปเปิดตู้เย็นที่ตั้งอยู่บริเวณครัว แสงไฟที่สว่างวาบขึ้น ทำให้คีย์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากหลอดไฟที่มีปัญหา เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนที่ขาเรียวยาวจะก้าวไปเปิดลิ้นชักเพื่อค้นหาเทียนหอมและไฟเช็คกลับมาที่มุมนั่งเล่นหน้าทีวี คีย์จุดเทียนหอมให้พอมีแสงสว่าง แล้วจึงเดินเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำ แสงไฟสว่างวาบทำให้เขาค่อนข้างโล่งใจ อย่างน้อยก็เสียแค่ดวงเดียว
หลังทำธุระส่วนตัว คีย์ล้างมืออย่างไม่รีบเร่งนัก ห้องที่มีคนอยู่แค่คนเดียว สมควรจะมีเพียงเสียงน้ำไหลผ่านความเงียบเท่านั้น หากเสียงสนทนาที่ดังแว่วเข้ามาในหูกลับทำให้คีย์รีบปิดน้ำอย่างรวดเร็ว
“ใครน่ะ!”
คีย์ส่งเสียงดัง ทว่า…ไม่มีคำตอบใด ๆ นอกจากเสียงคุ้นหูที่ทำให้เขาชาวูบไปทั่วทั้งร่าง
“เค้กครบรอบ?”
“ครบรอบ ครบรอบวันที่คบกัน… ปีที่สี่ครับ”
เสียงของเขาเองที่ดังขึ้นมาจากทีวีในห้องรับแขกเรียกให้คีย์ก้าวเท้าเร็วไปยังหน้าโซฟา ริมฝีปากของเขาสั่นระริก เพราะมีสิ่งอื่นนอกจากเสียงนั้นดึงดูดเขา เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีที่เข้าไปในห้องน้ำ เค้กชิ้นเดียวกับที่เขาเพิ่งได้รับคำชมจากอาจารย์ก็ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางโต๊ะตัวเล็กทั้ง ๆ ที่ตอนแรกถูกห่อมิดชิดอยู่ในกล่อง แสงเทียนจากเทียนหอมยังคงสว่างไสว หากเทียนเล่มเล็กที่ปักอยู่เคียงข้างเจ้าหมีเชฟถือร่มนั้นกลับทำให้เขาสติของเขาแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“คุณยังรักเขาเหรอครับ”
เสียงสดใสของพิธีกรหนุ่มน้อยดังขึ้นมาจากหน้าจอโทรทัศน์ ทั้งหมดคือภาพบันทึกจากเมื่อเย็น คงเป็นกล้องตัวเดียวกับที่ถ่ายเขาตั้งแต่ต้น หัวใจของคีย์สั่นระริกเมื่อมองภาพเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้น
ทำไมเขาไม่รู้เลย… ว่ากล้องตัวใหญ่นั้นไม่หันไปทางอื่นเลย แม้แต่เด็กหนุ่มที่เป็นพิธีกรคนนั้น
กล้องตัวที่จับจ้องแค่เขา
รอยยิ้มหมองที่วาดอยู่บนริมฝีปากทำให้คีย์เพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ใบหน้าของเขามันไร้ความสดใสมากเพียงใด ดวงตาเศร้า อมทุกข์ ใบหน้าซูบตอบ ผอมโซจนแทบไม่เหมือนคีย์คนเดิม
“ถ้ามีโอกาส อยากบอกอะไรกับเขาคนนั้นหรือเปล่าครับ เผื่อเขาดูรายการนี้ของเรา จะได้รับความรู้สึกของคุณได้”
“สิ่งที่อยากบอกเหรอครับ”
“ครับ… พูดเลยครับ”
“ผมอยากบอกเค้าว่า ตอนนี้ ผมอยู่คนเดียวได้แล้ว หาข้าวเย็นกินเองได้แล้ว แถมทำกับข้าวได้ตั้งหลายอย่าง ตอนป่วยผมก็ดูแลตัวเองได้ ผมไปหาหมอคนเดียวได้ ผมไม่ต้องรอ… รอให้มีคนพาไปเหมือนเมื่อก่อน … ผมขับรถเป็นแล้วด้วย ผม… ไม่หลงทางแล้วด้วย”
“ผม เคยหลงทาง…. หมายถึง ผมเคยคิด ว่าสิ่งแรก คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็เลยไปหลงไขว่คว้าหาอะไรตั้งมากมาย
ทั้ง ๆ ที่มีเค้าแค่คนเดียว…. แค่คนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด”
คีย์ในจอสี่เหลี่ยมนั้นหลุบมองลงบนเค้กของตัวเอง เพื่อสะกดกลั้นความคิดที่พุ่งพล่านอยู่ในหัว ริมฝีปากของเขาเม้มสนิทด้วยพยายามข่มความอ่อนแอที่อยู่ในใจ
“ผมทำทุกอย่างเองได้ ผมรู้ทุกอย่างแล้ว… แต่มีแค่อย่างเดียวที่ผมทำไม่ได้ … แค่อย่างเดียว
ทำนบความคิด พังทลายความสามารถในการควบคุมตัวเองของเขาโดยสิ้นเชิง ทุกความคิดคำนึงที่ฝังอยู่ในใจพรั่งพรูออกมาคล้ายน้ำป่า คีย์ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาอยากพูดมันออกไป แต่อาจเพราะไม่เคยมีใครถามคำถามนี้กับเขา
อยากบอกอะไร… ให้อีกคนรู้
สิ่งที่อยากพูดมาตลอด แต่ไม่มีโอกาสพูดให้เจ้าตัวฟัง
เป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา
แค่อยากให้รับฟัง…
“ผมแค่อยากพูดกับเค้า บอกเค้า… บอกทุกอย่าง”
ขาดเธอไปฉันเหมือนคน หลงทาง
แสนอ้างว้าง โง่เขลา
ลมหายใจ อ่อนลง…
และฉันคงเป็นไปอีกนาน …แสนนาน
โปรดบอกทีว่าฉันควร ทำเช่นไร เมื่อไม่มีเธอ
“ทำ…ทำไม”
ภายในความมืด คีย์สะอื้นอยู่ในอกอย่างเงียบ ๆ หน้าจอทีวีดำลงไปพร้อมกับอุ่นไอที่โอบล้อมกาย อ้อมแขนใหญ่จาก ร่างที่สูงมากกว่า… อุ่นมากกว่า มีกลิ่นหอมมากกว่าทุกสิ่ง แผ่นหลังบอบบางถูกกดให้ฝังจมเข้าไปใต้อกกว้าง
“พูดสิ…. บอกมาสิ”
หัวใจของคีย์แทบหยุดเต้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัว เสียงทุ้มคุ้นหูที่เคยได้ยินแค่ในความฝัน ความอบอุ่นที่ไม่ได้รับมานานแสนนาน เรือนผมที่เคล้าเคลียอยู่ข้างหลัง หรือแม้กระทั่งฝ่ามือที่เลื่อนเข้ามากุมรอบมือทั้งสอง
“สิ่งที่ดื้ออยากพูด พูดมาสิ… เรากลับมาฟังแล้ว”
น้ำตาที่พยายามซ่อนไว้ทลายลงมาทันทีที่ได้ยิน คีย์ปล่อยความอ่อนแอทั้งหมดที่เคยมีให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของทุกอย่างในชีวิตโดยไม่สะกดกลั้นใด ๆ
“ฉันรักนาย … รัก ..รักมาตลอด”
อ้อมแขนอุ่นสอดรอบเอวคอดแน่นขึ้น ฝ่ามือหนาสอดประสานมือที่สั่นระริกไว้แน่นขณะรับฟังเสียงหวานที่กำลังพรั่งพรูอออกมาด้วยความอัดอั้น ซึมซับทุกคำขอโทษที่หลากหลายอารมณ์นั้นอย่างใจเย็น
“อยากให้เชื่อ… ไม่ได้รักคนนั้นอีกแล้ว ไม่ได้รักใครอีกแล้ว รักแค่นายคนเดียว อยากขอโทษ… แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เชื่อ… หมบ้า.. หมีนิสัยไม่ดี เชื่อฉันสิ เชื่อฉันซักทีสิ หมีบ้า.. ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม ทรมานจะตายแล้วรู้ไหม”
ความเจ็บปวด ทรมาน อึดอัด… และความหวาดกลัวนั้นถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงที่สั่นเครือ
“ฉันกลัว… ว่าจะไม่กลับมาแล้ว แต่ก็ไม่กล้าที่จะไปหา กลัวว่าจะหนีไปอีก กลัวว่าจะไล่ฉัน กลัวว่า…ถ้าเปลี่ยนไปจะทำยังไง ก็เลยได้แค่รอ อยากให้กลับมานานแล้ว.. อยากให้เหมือนเดิม”
“ดื้อเอ้ย… ดื้อเอ้ย”
มินโฮกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก ความสับสนที่ผ่านมาเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่คนตัวเล็กเผชิญมาตลอดเวลาที่ห่างกันไป มินโฮวางคางลงบนไหล่ลาด กระซิบเบาใกล้หู ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เข้มแข็งมากไปกว่ากันเท่าไหร่ ดวงตาของเขาร้อนจนแทบห้ามไม่อยู่
ขนาดห่างไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเป็นปี… พยายามหลีกลี้หาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้ลืม พยายามทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้คิดถึง แต่ก็ยังทำไม่ได้ สุดท้าย…ก็ทนเสียงเรียกร้องในใจตัวเองไม่ได้
มินโฮรู้มาตลอดว่ารักคน ๆ นี้มาก…. แต่ไม่รู้เลยว่ารักมากขนาดนี้ รักมากจนยอมไม่ได้อีกแล้วถ้าต้องสูญเสีย
ต่อจากนี้ไป… ถึงให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งคีย์ไปอีกแล้ว
ร่างสูงหมุนคนตัวเล็กให้กลับมาเผชิญหน้า คีย์ที่ไร้เรี่ยวแรงจนต้องทิ้งตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ร่างที่ตรงหน้าเขา อยู่ในสายตาของเขา แม้จะมืดสลัว มีเพียงแสงเทียน และแสงไฟที่ลอดมาจากห้องน้ำเท่านั้น แต่ทุกรายละเอียดบนใบหน้าของคีย์ยังกระจ่างชัด ชัดแม้กระทั่งประกายดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคิดถึง ความโหยหาที่มีให้ไม่แพ้กัน
“ดื้อเหมือนเดิม… ขี้แยเหมือนเดิม บอกแล้วใช่ไหม ว่าดื้ออยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีเราซักคน… ก็อ่อนแอแบบนี้นี่แหละ”
“รู้อยู่แล้วจะหนีไปทำไม… ทิ้งฉันไปทำไม รู้ทั้งหมด แต่ก็ไม่กลับมาซักที ไปอยู่ไหนมา ไปทำอะไรมาบอกเดี๋ยวนี้เลยนะ” ใบหน้าหวานบิดเบี้ยว เมื่อส่งเสียงดังต่อว่าเขา จนมินโฮหนีบปลายจมูกเชิดรั้นนั้นอย่างแกล้ง ๆ แล้วจึงแสร้งหัวเราะเบา
“ไปนอกใจดื้อมาไง” มินโฮตอบหน้าตาเฉย สีหน้าของคีย์เปลี่ยนไปในฉับพลัน หากดวงตาคู่สวยยังไม่ยอมละไปจากใบหน้าเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว “ไปหาแฟนใหม่มา ไปหาคนที่ดีกว่านี้ น่ารักกว่านี้ นิสัยดีกว่านี้… หาคนที่ใจไม่โลเล แล้วก็ไม่เอาแต่ใจเหมือนดื้อมา”
นิ้วมินโฮจิ้มไปบนหน้าผากมน ขณะบรรยายถึง ‘แฟนคนใหม่’ ที่เขาพยายามหามาตลอด
“ละ..แล้วเจอไหมล่ะ”
“เยอะแยะเต็มไปหมด … คนที่ดีกว่าดื้อน่ะ”
“ไอ้หมีบ้า” คีย์กระแทกเสียงแบบที่มินโฮรู้ดีว่ากำลังอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ประกายไหวระริกที่อยู่ในดวงตาเรียวสวยนี้ กลับทำให้มินโฮรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปเป็นหมียักษ์ของดื้อตัวน้อยเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
เป็นคนรักที่ทะเลาะกันทุกเวลา แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันตั้งแต่หลับตากระทั่งลืมตา ได้กินข้าวด้วยกัน จับมือกุมกันแนบอก ทำทุกอย่างร่วมกัน หลับตื่นกินนอน…เคียงข้างกัน
“เราพยายามที่จะมีคนอื่น… พยายามที่จะอยู่คนเดียว ”
เป็นคนรักที่มีข้อเสียอยู่เต็มไปหมด… มีเสียงบ่นว่า ดุด่ากันไม่มีหยุด แต่ขาดกันไปแต่ละครั้ง ก็คล้ายว่าขาดส่วนหนึ่งของชีวิตไป
“แต่รู้ไหม…ไม่ว่ายังไง เราก็รักใครมากกว่าดื้อไม่ได้ซักที พยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้”
“หมีบ้า… ก็อย่าไปมองคนอื่นสิ กลับมาอยู่กับฉันสิ”
ตอนนี้… เวลานี้
ไม่ว่าใครก็ไม่สำคัญแล้ว
สำคัญแค่นี้….
“ดื้อเอง ก็ห้ามรักใครนอกจากเราล่ะ”
คีย์เลือกแล้ว
รักครั้งแรก
แฟนคนแรก
คนไหนก็ไม่สำคัญเท่าคนเดียวที่อยู่ตรงนี้
คนเดียวที่รักที่สุด
THE END.
[1] เพลงสายฝนโปรย Lyrics thai version : y_prand
Original song : 비를 내려줘요 (inst.) -Lyn
ฟิคจบแล้วววววววววววววว *จุดพลุปุ้ง ๆ*
ชอบฟิคเรื่องนี้ติดแท็ก #The1stMinkey ในทวิตเตอร์ด้วยน้า
ใครต้องการฟิคลงชื่อจองได้ที่นี่นะคะ
จองฟิค THE FIRST MINKEY
กำลังจะอัพรายละเอียด และวิธีการจองให้น้า
ผู้ที่ลงชื่อจองแล้ว รอรับอีเมล หรือทวิตลองเกอร์ที่บอกรายละเอียได้ค่ะ
*เนื้อเพลงที่ประกอบตอนนี้ ชื่อเพลงสายฝนโปรย นิ่มแต่งเนื้อร้องภาษาไทยเองค่ะ 😉
ป.ล. รับสมัครนักร้องเสียงใสใจดีมาร้องเพลงประกอบฟิคของเรานะคะ -,.-*
ขอบคุณที่ยังรอหมียักษ์กับดื้ออยู่เสมอ
y_prand