ข้างเคียง
2

รายละเอียดการโอนเงินฟิค THE FIRST {MinKey}

ราคา 290 บาท ค่าไปรษณีย์ 40 บาท  สั่งเล่มต่อไปบวกเพิ่มเล่มล่ะ 20  บาท

*ฟิคเรื่องนี้ถูกจัดทำเป็นสองเวอร์ชั่น คือคู่ MinKey – SHINee  และคู่ KaiBaek – EXO  เนื้อหาเหมือนกัน ต่างที่รายละเอียดและหน้าปก ซึ่งทั้งหมดมาจากความชื่นชอบส่วนตัวของผู้เขียน ไม่มีเหตุผลอื่นนะคะ *

รายละเอียดของหนังสือ

หนังสือขนาด 13 X 18.5 cm. กระดาษถนอมสายตา  ปกสีเคลือบด้าน

ประมาณ 220- 260 หน้า

The First  รักครั้งแรก แฟนคนแรก  –  ร่มสีฟ้า กับฟ้าสีครึ้ม  Part 1-9

ตอนพิเศษ I –     (มีเฉพาะในเล่ม)

ตอนพิเศษ II –   (มีเฉพาะในเล่ม)

ป.ล.   อาจมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดได้นะคะ  แต่ราคาหนังสือยังคงเดิม

รูปหน้าปก https://keyprand.files.wordpress.com/2013/06/e0b89be0b881e0b8abe0b8a5e0b8b1e0b887s-horzdfas.jpg

ปกหลังs-horzdfas

โอนเงินค่าฟิค + ค่าส่งไปรษณีย์(290+40)

1 เล่ม  = 290+(40) = 330 บาท

2 เล่ม = 290+(40)+280+(20) =640

วิธีการโอนเงิน อ่านให้ละเอียด

1. โอนเงิน มาที่ นางสาวรังสิยา ปานดำ เลขบัญชี 183-250928-4 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (กรุณาโอนแบบมีเศษสตางค์เพื่อให้ตรวจสอบง่าย ถ้าไม่ได้โอนเศษสตางค์มา กรุณาแนบรูปถ่ายสลิป)

2. โอนแล้ว แจ้งโอนได้ที่ลิงค์

https://docs.google.com/forms/d/19yXHf6xR70swtfwxKu7qHBLi_sdkP3G4f6pEt6iicqE/viewform

ช่องทางการติดต่อผู้เขียน

twitter @ykyprand
e-mail y_prandfic@hotmail.com
*สองช่องทางนี้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา*

ขอบคุณสำหรับการรอคอยค่ะ

3

[รวมเล่มฟิค] [SF] BE MINE

รวมเล่ม SF by y_prand

MINKEY  SHINee

BE MINE


คลิกดูรูปใหญ่ได้นะคะ 😉

.

.  

                   ในเล่มประกอบด้วยฟิคจำนวน 6 เรื่อง ความหนา 398 หน้า

Prisoner of love  เป็นฟิคแถม ที่เคยลงในบอร์ด  แต่ยังไม่จบ

เนื้อเรื่องเข้มข้น และยาวมากค่ะ  เหมือนได้อ่านฟิคยาวอีกหนึ่งเรื่อง

ใครที่อยากรู้ว่าฟิคเรื่องนี้เป็นยังไง ลองเข้าไปอ่านได้นะคะ 😉

PRISONER OF ‘LOVE’

ราคา : 400 บาท

RATE : NC-18

ค่าจัดส่งทางไปรษณีย์  50 บาท(ต่อเล่ม)

.

.

สอบถามรายละเอียดได้ที่  Twitter @yprand  / E-mail : y-prand@hotmail.com

ถ้าไม่ได้รับการติดต่อกลับภายในสองวัน  กรุณาโทรแจ้งที่หมายเลขโทรศัพท์ 084-4818152 (นิ่ม)

.

.

กรอกแบบฟอร์มส่งมาที่ E-mail : y-prand@hotmail.com

หัวข้ออีเมลล์ : สั่งจองฟิค BE MINE 

แบบฟอร์มวิธีการสั่งจองฟิค BE MINE  

*Username : (SHINee-TH/บล็อค)__________

*ชื่อจริง / ชื่อเล่น :_____________

*จำนวนเล่ม :  ____เล่ม

*วิธีรับ : รับด้วยตัวเอง(เชียงใหม่/งานฟิคที่กรุงเทพฯ)________

ไปรษณีย์(ลงทะเบียน / EMS) ______

ที่อยู่(กรณีส่งทางไปรษณีย์) :______________________

*หมายเลขโทรศัพท์ : __________(ชื่อสำหรับติดต่อ)

*E- mail  :_______________

Twitter : _______________

เลขที่บัญชีสำหรับการโอนเงิน

โอนเงินมาที่

เลข บัญชี 667-274792-9 บัญชีประเภทออมทรัพย์
นาง สาวรังสิยา ปานดำ
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาวิทยาลัย เชียงใหม่


กรุณาโอนเศษสตางค์มาด้วยนะคะ

6

[SF] ข้างชีวิต 1. เช้า

ข้างชีวิต

และที่ของฉัน นั้นคงเป็นได้แค่ข้างชีวิต
ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เคียงคู่กันแนบชิดสนิท
เป็นอีกชีวิตข้างๆกัน ไม่ใช่ชีวิตที่คู่กัน

ฉัน…และเธอ

               BG SONG : ข้างชีวิต แสตมป์

 

☸-ڿڰۣ- ♥ ☸-ڿڰۣ- ♥ ☸-ڿڰۣ- ♥ ☸-ڿڰۣ- ♥ ☸-ڿڰۣ- ♥

 

1.

เช้า

 

ในชีวิตของคนเรา อย่างน้อยก็ต้องมีพรสวรรค์ติดตัวมาอย่างหนึ่ง

บางคนรู้ตัว… แต่บางคนก็ไม่รู้ตัว

รู้ตัวก็ดีไป… จะได้รู้จักใช้ รู้จักควบคุมพรสวรรค์ของตัวเองให้ออกมาทำประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม ต่อตัวเอง … อย่างน้อยก็รู้ตัวว่าจะเอามันออกมาใช้มากน้อยเพียงไร

แต่เรื่องมันจะเกิดก็เพราะไอ้คนที่ไม่รู้ตัวนี่แหละที่ชอบสร้างปัญหาให้กับคนอื่นนี่แหละ…

ตราบใดที่เจ้าตัวยังคงไม่รู้สึก… ไอ้โรคชอบใช้พรสวรรค์ของตัวเองไม่รู้เวล่ำเวลาแบบนี้ ให้แก้ยังไงก็คงไม่หาย

เฮ้อ! … มินโฮจะพูดยังไงกับคนๆนี้ดีนะ … คนที่ชอบใช้พรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็กจนโตมาทำให้เขาลำบากใจอยู่เรื่อย

พรสวรรค์ขี้อ้อนของเด็กคนหนึ่ง

            ที่ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ทุกวี่วัน

ฉันและเธอ

เธอและฉัน
นั้นเป็นคนสองคนที่สัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ

                “ตื่น…สายแล้วนะ”

อากาศยามเช้าแทรกผ่านเข้ามาใต้ผืนผ้าผ้าห่มที่ถูกตวัดออกอย่างเร็วด้วยฝีมือของใครบางคน    เสียงครางอื้ออย่างหงุดหงิดก็ดังขึ้นจากคนที่ถูกรบกวน  ขายาวๆพ้นกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเก่งตวัดหาไออุ่นรอบตัวทันที     เปลือกตาที่ปิดสนิทขยับหยุกหยิกเพราะถูกรบกวนจากแสงสว่างที่สะท้อนเข้าตา    แขนเรียวเล็กกวาดไปทั่วทั้งๆที่สติสัมปชัญญะยังมาไม่ครบถ้วนเพื่อจะควานหาหมอนข้าง หมอน และผ้าห่มกลับเข้ามาคลุมร่างอีกครั้ง    แต่คนตัวใหญ่กว่ารู้ดีว่าถ้าปล่อยให้คนขี้เซาจมอยู่ในกองผ้าห่มต่อไป  เช้านี้คงหมดหวังที่จะปลุกให้ตื่นอย่างแน่นอน

“คีย์  ตื่น!”

“อื้อ …”

“คีย์!”

“อีกห้านาทีน่า”

ดวงตาเรียวหรี่ออกข้างเดียวขณะที่เจ้าตัวพยายามยื้อยุดฉุดกระชากผ้าห่มจากมือของเขา   จนมินโฮโคลงศีรษะด้วยความหนักใจ   ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบด้วยความพยายามระงับอารมณ์อ่อนใจต่อคนบนเตียงเอาไว้เต็มที่

“ห้านาทีไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแล้วไม่ใช่เหรอคีย์บอม  เจ็ดโมงสิบห้าแล้ว ตื่น! ”

มินโฮกระชากผ้าห่มจนหลุดจากมือน้อย   และตบเตียงดังๆ  หวังเพียงแค่ว่าคนตัวเล็กจะตื่น และรู้สึกตัวเสียทีว่าวิชาแรกที่ทั้งสองเรียนนั้นมันเริ่มที่เวลาแปดโมงเช้า

“ขอเพิ่มห้านาทีอีกซักหนึ่งชั่วโมงไม่ได้เหรอ”

คนไม่รู้ตัวว่ามีเรียนเอ่ยเสียงละห้อย   ขณะพยายามซุกหน้าลงกับหมอนใบโตที่กำลังถูกมินโฮแย่งเอาไป

            “คีย์!”

มินโฮเรียกชื่อคนที่จมปุกนอนขดตัวอยู่บนเตียงราวกับเด็กอายุหกขวบพร้อมกัดฟัน    สายตาเอือมระอามองคนที่ตอนนี้ลืมตาทั้งสองข้างพร้อมกระพริบปริบๆให้เขาอย่างหวานเยิ้ม  …ด้วยความรู้สึกที่แยกไม่ออกระหว่างเหนื่อยใจและเอ็นดูอย่างสุดซึ้งกับความพยายามในการนอนต่อของคิบอม!

“มินโฮ ~”

เสียงหวานเลียนแบบเขา   ก่อนจะเลื่อนกายไถลมาตามหมอนนุ่มๆที่ถูกมินโฮดึงมาที่ปลายเตียง   ร่างเล็กในชุดนอนตัวโคร่งที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนักกลิ้งข้ามเตียงมาหาเขา   ความประมาทและดูถูกความสามารถของคนขี้เซาอย่างคีย์ ทำให้ชายหนุ่มไม่ทันระวังมือเล็กจะพุ่งเข้ามายึดลำแขนแข็งแรงเอาไว้แน่นและฉุดให้ร่างสูงล้มตัวลงบนที่นอนโดยที่หอบเอาผ้าห่ม ผ้านวม หมอน และตุ๊กตาหมีตัวสีขาวนุ่มในอ้อมแขน   พอสบโอกาส  คีย์ก็รีบคว้าผ้าห่มมาตวัดรอบกายพร้อมกลิ้งไปแทรกตัวอยู่ในอ้อมกอดระหว่างหมีคนตัวใหญ่และหมีตุ๊กตาตัวเล็ก

“งั้นก็มานอนด้วยกัน สายด้วยกันไม่มีใครว่าหรอก”

“แต่เราไม่ได้เรียนด้วยกันนะเฮ้ย!!! ”

ด้วยสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดที่เรียนรู้จากทุกเช้า   หลังจากพูดจบ คีย์ก็รีบซุกหน้างัวเงียของตนลงกับอกกว้าง พร้อมกับตวัดขายาวๆก่ายกับขาของอีกฝ่ายโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดๆทั้งสิ้น   รวมกับแขนที่เกี่ยวกอดหมีร่างใหญ่จนแน่นเพื่อป้องกันการถูกฉุดให้ลุกออกจากที่นอน!   โดยไม่ปล่อยให้มินโฮได้พูด หรือแสดงอาการต่อต้านเลยแม้แต่น้อย

หรือความจริง ต้องพูดว่า  ‘ไม่กล้า’ แม้แต่จะต่อต้านมากกว่า

ฉันรู้จักเธอรู้จักฉัน
เหมือนมันจะมากกว่านั้นแล้วมันก็เท่านั้น ฉันไม่รู้ทำไม

 

“คีย์…”

สรุปคือ   ท่าคีย์พิฆาต หลักสูตรของเจ้าสำนักขี้เซา(และขี้อ้อน)  ก็ทำให้การต่อสู้ของยกแรกในเช้าวันนี้  เด็กชายคิม คิบอมตัวเล็กเป็นฝ่ายชนะน็อคเด็กชายมินโฮตัวโตไปโดยปริยาย    ซึ่งบทลงโทษวันนี้ก็คือการที่คนตัวโตนอนตัวแข็งพร้อมกลั้นหายใจอยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนตัวเล็กที่กำลังหลับตาพริ้มราวกับเจ้าชายนิทรา

มินโฮกัดฟันกรอด… เจ็บใจ  …และสะเทือนใจกับความอ่อนด้อยของตัวเอง

ก็มันเป็นซะแบบนี้   คนอย่างเขาจะทำอะไรได้…

นอกจากนอนกัดฟันข่มอารมณ์ตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างนี้อีกหนึ่งวัน

ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก…. ใหญ่เกินกว่าที่ผู้ชายหัวใจอ่อนแออย่างเขาจะรับมือได้ทุกวัน

“คีย์โว้ย!! จะไม่ตื่นจริงๆใช่ไหม”

………

มินโฮเกาหัวแกร่กๆ

แพ้ทาง…. แพ้จริงๆ

            ชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้าได้รูปที่ซุกไซ้คลอเคลียอยู่บนอกของเขาราวกับลูกแมวก่อนถอนหายใจหนัก   มือใหญ่คว้าผ้าห่มที่อยู่ใกล้มือไปห่มให้ด้วยความรู้สึกที่อยากจะฟัดแก้มนิ่มๆนั้นหนักๆให้หายหมั่นเขี้ยวซักยกหนึ่ง

            “เยี่ยมมาก   ให้มันได้อย่างนี้ทุกวันเถอะ  ไอ้ตัวเล็ก!”

            ฮึ่ม  …. ไม่ต้องมานอนอมยิ้มเลยนะ….

เมื่อกี้ประชดโว้ย ประชด!!

……………

1

[YW] Welcome to (M)Y – WORLD

ประกาศ  อินิ่มขอพักบล็อคชั่วคราว… เหตุ กำลังเร่งปั่นงานเพื่อจบการศึกษาในภาคการเรียนนี้ >.< แล้วเจอกันอีกทีนะจ้ะ

ต่อไปเป็นข้อแนะนำการใช้งาน M(Y) – WORLD (ทุกข้อกรุณาอ่านให้ครบ อ่านให้ละเอียด  และอ่านให้เข้าใจ โอเค๊)

1. หากต้องการลงชื่อเป็นผู้อ่านประจำ (M)Y- World  ตรวจสอบรายชื่อ เพิ่มข้อมูล หรือขอรหัสผ่าน  คลิก ที่นี่

2. หากต้องการอ่านฟิคยาว(ตอนนี้มีอยู่ 2 เรื่อง)แต่หาทางไปไม่ถูก   คลิก ที่นี่  

3. หากต้องการอ่านฟิคสั้น (ที่ไม่ลงในบอร์ด ) แต่หาทางไปไม่ถูก คลิก ที่นี่  

4. หากต้องการสอบถามรายละเอียด หรือไม่เข้าใจ  คอมเมนท์ถามข้างล่าง หรือ เมนชั่นไปที่ @yprand / @key_prand / y-prand@hotmail.com

.

สวัสดีค่ะ

y_prand นะคะ

y_prand ชื่อเล่นว่า ‘นิ่ม’ อายุเท่าจินกิ  เป็นคนเขียนฟิค

ชอบอ่านหนังสือ รักภาษาไทย

รักชายนี่ เมนน้องคีย์

  ส่วนตัวแล้วชอบจงคีย์พอๆกับมินคีย์ แต่ส่วนใหญ่เขียนฟิคมินคีย์

คู่รองคือ ฮยอนนิว (ชอบมาก ^__^)

เขียนฟิคยาวจบแล้ว 1 เรื่องคือ My Brother

ส่วนฟิคสั้นเรื่องอื่นๆที่ลงในบอร์ดSHINee-TH คลิกที่ สารบัญ Fiction y_prand

นอกนั้นยังดองๆอยู่ แล้วก็ยังมีพล็อตฟิคยาวค้างอยู่ประมาณล้านแปด

เป็นคนเขียนฟิคเอาแต่ใจ  เวิ่นเว้อ  และไม่ได้ดีอะไรนัก  โปรดอย่าคาดหวัง

และอย่ามาบังคับให้นิ่มเขียนตามที่ต้องการ

เพราะนิ่มทำตามความต้องการของตัวเองเท่านั้น!!!

กร๊ากกก

ป.ล. ใครที่มั่นใจว่าต้องการติดตามฟิคอินิ่มก็ลงชื่อพร้อม ทวิตหรือ อีเมลล์ไว้นะคะ มีอะไรอัพเดทเค้าจะส่งให้ค่ะ ^^

ป.ล. ต่อไปถ้าย้ายมาที่นี่ถาวร  อาจจะไม่อัพฟิคที่บอร์ดแล้วนะคะ ^__^ หรือไม่ก็อัพแค่บางส่วน ไม่อัพทั้งหมด 

ป.ล. ถ้าคลิกลิงค์อ่านตามข้อแนะนำ  ขอความกรุณาอ่านให้จบ ให้ครบ  ให้เข้าใจ แล้วค่อยทำตามนะคะ

ไม่อยากอธิบายหลายรอบ เหนื่อย ยกเว้นถ้าไม่เข้าใจจริงๆค่อยถาม

ป.ล. กติกาทุกข้อที่ตั้งไว้มีเหตุผลของมัน  กรุณาทำตามกติกา มันไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เข้าใจนะคะ ^^

.

.

.

ขอให้มีความสุขกับ (M)Y – World

ลงชื่อ y_prand

(โลกวายๆของคนบ้าวาย ที่ชื่อ y_prand)

1

[The First MINKEY] แจ้งกำหนดการจัดพิมพ์ ตัวอย่างในเล่ม และรายชื่อผู้จอง+โอนเงิน

            สวัสดีค่ะทุกท่าน  

วันนี้เข้ามารายงานความคืบหน้าของฟิค The FIRST – MINKEY   ซึ่งจะมีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน คือ

1. แจ้งวันเวลาการจัดพิมพ์ – จัดส่งฟิค

2.แจ้งเนื้อเรื่องและตอนพิเศษภายในเล่ม (ตัวอย่างในเล่ม)

3. แจ้งรายชื่อผู้ที่จอง และโอนเงินแล้ว

เรื่องแรก ความคืบหน้าของฟิคในขณะนี้ นิ่มกำลังเร่งพิมพ์ตอนพิเศษแล้วก็จัดหน้าไปด้วย   เรียกว่าตอนนี้ทำไปได้เกิน 50% แล้วค่ะ ถ้าแฟนอาร์ตข้างในเล่มและตอนพิเศษเสร็จ ก็คงเหลือแค่ตรวจพรูฟ และส่งเข้าโรงพิมพ์นะคะ  นิ่มจะส่งฟิค The FIRST – MINKEY เข้าโรงพิมพ์ประมาณวันที่ 8-10 พฤศจิกายน หลังจากสรุปยอดคนโอนเงินในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่เป็นวันโอนเงินวันสุดท้าย

ถ้าใครมีปัญหาจริง ๆ ให้ติดต่อก่อนวันที่ 6 พฤศจิกายน เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่พิมพ์เผื่อในรอบนี้นะคะ  นิ่มอาจจะจัดพิมพ์อีกครั้งในงานตลาดฟิคที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2557 แต่คงจัดพิมพ์จำนวนไม่มาก ดังนั้นรีบตัดสินใจนะคะ

รายละเอียดการโอนเงิน คลิก

กำหนดการจัดส่งฟิค

            โอนเงินได้ถึง                                       6  พฤศจิกายน 2556

                ส่งเข้าโรงพิมพ์                           ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2556

                ฟิคเข้าโรงพิมพ์                          5-7 วัน (ได้ฟิคประมาณวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2556)

            (คาดว่า)จะจัดส่งให้ประมาณวันที่ 19-25 พฤศจิกายน 2556    

            กำหนดไว้คร่าว ๆ ประมาณนี้นะคะ  ไม่รู้ว่าช้าไปไหม  แต่เท่าที่คาดการณ์ไว้น่าจะประมาณนี้  ตั้งใจจะส่งให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 นี้ให้ได้ค่ะ

            เรื่องที่สอง  ความคืบหน้าเกี่ยวกับฟิค ในเล่มนี้ทั้งหมดเป็นคู่ MinKey ไม่มีคู่อื่น กำหนดตอนพิเศษไว้ดังนี้นะคะ

 

 

THE FIRST

รักครั้งแรก แฟนคนแรก

ร่มสีฟ้า  กับฟ้าสีครึ้ม                   เนื้อหาตั้งแต่ Intro – Part 9

ปลายฝน             “ห้ามจากฉันไปไหนนะหมี”              ทดลองอ่าน เลื่อนลงไปข้างล่างนะคะ

 

ต้นหนาว             “เราถามแค่ว่า… หมีรักเค้าหรือเปล่า  ไม่ได้ถามว่ารักเราหรือเปล่า” 

ทดลองอ่าน เลื่อนลงไปข้างล่างนะคะ

 

ฤดูรัก                 “เรารู้จักกัน คบกัน ทะเลาะกัน และบอกรักในฤดูฝน  

….แต่จนถึงตอนนี้  ไม่มีฤดูไหนที่เราไม่รักกัน

 

Special  

Puppy love          “นายมีดีแค่ไหนกัน ถึงเชื่อขนาดนั้นว่าฉันจะรักนาย”

Because of you     ที่ผมเป็นแบบนี้  ที่ผมไม่เคยลืม                                

                        มันก็เพราะคุณ…ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ

                                                                        ทดลองอ่าน เลื่อนลงไปข้างล่างนะคะ     

     

ปลายฝน

ห้ามจากฉันไปไหนนะ

 

 

คืนนี้เป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย สายฝนพร้อมกับพายุที่พัดอื้ออึงทำให้คีย์ต้องซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ   กอดขาตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ เพื่อปกป้องตัวเองจากเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องและน่ากลัวสำหรับเขา  เมื่อคีย์ต้องอยู่คนเดียวตุ๊กตาหมียักษ์กับแสงไฟเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย  ทว่าตอนนี้ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่กลิ้งลงจากเตียงอย่างน่าสงสารเป็นครั้งแรกในรอบปี เพราะหมีตัวจริงยึดครองพื้นที่เสียแล้ว

ในค่ำคืนนี้  คีย์ไม่มีเวลาแม้กระทั่งคิดหวาดกลัวสิ่งใด เพราะเจ้าของเตียง  เจ้าของห้อง และเจ้าของหัวใจของเขาอยู่เคียงข้างด้วยเหมือนที่รอมาตลอด  ในห้องนอนที่ปกติจะเปิดไฟครบทุกดวง กลับมีโคมไฟที่หัวเตียงเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน  แสงไฟเหลืองนวลสบายตาแม้จะทำให้ชวนง่วงนอน  แต่คีย์กลับไม่อยากแม้แต่หลับตา  ด้วยความกลัวลึก ๆ ที่อยู่ในใจ

บางที สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในค่ำคืนนี้อาจจะเป็นแค่ความฝัน   ที่เพียงลืมตาตื่นขึ้นมาก็มีแต่ความว่างเปล่า

“กอดหน่อย”  คีย์ร้องขอเสียงแผ่ว  พร้อมเบียดกายแนบชิดกับร่างอุ่นที่อยู่เบื้องหลัง เสียงกลั้วหัวเราะทำให้คีย์นนึกหงุดหงิดใจ แต่ทันทีที่ท่อนแขนอันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแน่นโอบรอบกายเขา  คีย์ก็ทิ้งตัวให้อยู่บนแผ่นอกกว้างนั้นพร้อมทั้งสูดกลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ ผสมกลิ่นเหงื่อที่เขาคุ้นเคย

“หอมเหมือนเดิมเลย”

คีย์ยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายชิงพูดก่อน  หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นอีกหนึ่งจังหวะเมื่อมินโฮทิ้งจูบหนักลงบนเรือนผม

“ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ”  ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาจะเป็นสิ่งเดียวกับที่อีกฝ่ายคิดด้วยเช่นกัน   คีย์หัวเราะกับตัวเอง ก่อนพยักหน้าและส่งเสียงในลำคอรับคำ

“อื้อ ”

ลมหายใจอุ่นของมินโฮไล่จากกกหูลงมายังข้างแก้ม  คีย์วาดยิ้มที่มุมปาก  และพลิกหน้าไปหาเจ้าของไออุ่น แววตาสีดำคมเข้มปรากฏเงาสะท้อนหน้าเขาอยู่ในนั้น ดวงตาที่มองเพียงแค่เขา

“เราบอกรักดื้อหรือยัง”

“บอกไปตั้งหลายครั้งแล้ว” ตอบเสียงใส

“หมายถึงวันนี้ คืนนี้เราบอกไปหรือยัง”

คีย์กลั้วหัวเราะ ก่อนจะยื่นกลีบปากบางขึ้นไปประทับรอยจูบแผ่วเบาบนริมฝีปากที่อยู่ไม่ห่างนัก พร้อมเอ่ยซ้ำคำเดิม

“บอกไปตั้งหลายครั้งแล้ว”

มินโฮคลายอ้อมกอดและส่งริมฝีปากกลับไปยังเนื้อนิ่ม แล้วเลื่อนขึ้นไปงับจมูกเชิดรั้นตามประสาคนดื้อเบา นิ้วเรียวประคองคางมนขึ้น  ตามด้วยจุมพิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ความรัก ความคิดถึงผสานกับไออุ่นจากร่างทั้งสองที่กำลังค่อย ๆ หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และถูกถ่ายทอดผ่านกลีบเนื้อที่บดเบียดแนบชิด มินโฮขบริมฝีปากล่างของคนตัวเล็กเบา บดคลึงและลิ้มรสชาติของความรักของคีย์อย่างที่ต้องการมาตลอด หัวใจของเขาเต้นแรง เมื่อสัมผัสกับลิ้นอันแฉะชื้นที่ตอบรับเขาด้วยความโหยหา ภายในพื้นที่ที่เคยเป็นของเขายังคงต้อนรับเขาเสมอ  ชายหนุ่มเบียดกายเข้าแนบชิดกับร่างผอมบาง  ฝ่ามืออันผ่าวร้อนเลิกชายเสื้อเชิ้ตของคีย์และเลื่อนเข้าไปใต้เนื้อผ้าเพื่อสัมผัสผิวกายที่ดูเหมือนจะเหลือเพียงหนังติดกระดูกเพราะผอมลงมากเหลือเกิน   หัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อไล่มือไปตามกระดูกสันหลังแหลม ๆ ที่ราวกับจะทิ่มผิวขาวออกมา

“ผอมเกินไปแล้ว”  มินโฮบ่นอุบ จนคนตัวเล็กย่นจมูกใส่

“ผอมแล้วไม่ดีเหรอ”

“เราชอบตอนดื้ออ้วน ๆ มากกว่า” คนตัวใหญ่ย่นจมูกกลับบ้าง และเลื่อนมือมาเหนือหน้าท้องที่แบนราบ  “ชอบตรงนี้ที่สุด  ตอนนี้แบนเชียว ไม่น่าเล่นเลย”

ปลายนิ้วเรียวยาวไต่ไปมาบนหน้าท้องอย่างสนุกมือ  คีย์ทุบไหล่หนาแล้วแยกเขี้ยว

“หมีบ้า”

“ดื้อนั่นแหละบ้า…คิดถึงจริง ๆ นะเนี่ย”

คีย์กลั้วหัวเราะถามเสียงใส ขณะเอื้อมมือขึ้นคล้องลำคอแข็งแกร่ง มือเรียวสอดไปใต้เรือนผมของอีกฝ่ายและจับจ้องดวงตาคมเข้มลึกซึ้ง

“คิดถึงอะไร จูบ…หรือว่าฉัน”

มินโฮกดจูบหนักที่มุมปากอีกครั้ง พลางฝังจมูกโด่งสวยลงบนแก้มนิ่ม แล้วจึงบอกด้วยน้ำเสียงที่แสนจริงจังเหมือนที่เคยเป็นเสมอ

“คิดถึงหมดทุกอย่าง”

“จริงนะ”

“เราเคยโกหกเหรอ” เสียงทุ้มถามพร้อมรอยยิ้ม ก่อนคลายลงเมื่อได้ยินคำตอบ

“เคย” คีย์ยังไม่ละสายตาไปจากดวงตาคมคู่นั้น ความทรงจำที่ย้ำเตือนว่าคีย์ทำผิดพลาดไปแค่ไหนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนไม่สามารถหลอกตัวเองได้ว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้น

“ตอนไหนเหรอ” มินโฮแสร้งถามราวกับจำไม่ได้ อ้อมกอดอุ่นกระชับแน่นขึ้น  พร้อม ๆ กับใบหน้าที่เลื่อนลงไปซุกที่ซอกคอขาว  คีย์หัวเราะลั่นเมื่อริมฝีปากร้อนพยายามซุกไซ้จุดอ่อนไหวที่ทำให้เขาต้องจั๊กจี้

“ไอ้บ้า หมีบ้า”

มินโฮจูบเขาอีกครั้ง จูบหนักราวกับกำลังลงโทษที่พูดเช่นนั้นออกมา ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนราวกับกำลังปลอบประโลมหัวใจของคีย์ไปพร้อม ๆ กันด้วย

“หยุดพูดเรื่องนั้นเถอะ” มินโฮตัดบท หากเป็นคีย์ที่ส่ายหน้า คนตัวใหญ่กว่าจึงยกมือขึ้นมาหนีบจมูกเชิดงอนนั้นเป็นการลงโทษกับนิสัยของคนดื้อ

“ดื้อ!”

นิ้วมือเรียวสวยเอื้อมขึ้นไปจับมือที่ใหญ่กว่า พลางคลึงเหนือแหวนเงินเนื้อเกลี้ยงที่เขาสวมอยู่  แหวนที่เหมือนกับบนนิ้วนางซ้ายของเขา

“ถ้าฉันทำผิดอีก  หมีจะหนีไปอีกไหม”  เจ้าของร่างสูงใหญ่คว้ามือเล็กขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก  และเอ่ยเสียงห้วน

อ่านต่อในเล่ม

 

 

 

 

 

 

 

ต้นหนาว

                                             สิ่งที่ผมเห็นทุกครั้งที่หลับตาก็คือ คนที่ผมรักที่สุด

แต่ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมา  เขาที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนนั้น

แม้เขาจะเป็นคนที่รักผมไม่น้อยไปกว่าใครก็ตาม

 

สายลมหนาวพัดเอื่อยอยู่รอบ ๆ กาย  แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเครื่องป้องกันที่อุ่นหนาเพียงใด หากเพียงไม่กี่ส่วนที่ได้สัมผัสกับไอหนาวนั้นกลับสร้างความสะท้านให้กับทุกพื้นที่บนร่างอย่างน่าแปลกใจ จมูกและปากของคนตัวเล็กแดงจัด  ลามไปถึงดวงตา  หากมีแค่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าภายใต้อากาศที่เยียบเย็นนั้น หัวใจของเขาร้อนรุ่มมากแค่ไหน

“หมีรักเค้าหรือเปล่า”  เขาคิดมาตลอดว่าคงไม่สติแตกง่าย ๆ กับเรื่องแบบนี้ ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อข่มใจไม่ให้แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดออกไป  ทว่าสีหน้า และน้ำเสียงที่อีกฝ่ายมีต่อคำถามนั้น  กลับทำให้เขารู้สึกคล้ายกำลังถูกแช่แข็ง

“เรารักดื้อ”

“เราถามแค่ว่า… หมีรักเค้าหรือเปล่า” ต่อให้พยายามถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเพียงใด…. หากความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ ก็ทำให้เขาเผลอขึ้นเสียงใส่คนที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่ได้ถามสักนิด… ว่ารักเราหรือเปล่า”

ลมหนาวแรกฤดูพัดแรงยิ่งขึ้น เมื่อคำถามนั้นได้รับคำตอบเป็นความเงียบ  และดวงตาที่หลุบมองเบื้องล่าง

หัวใจของเขาสั่น   เมื่อได้ยินคำสารภาพต่อมา

“เรา… ไม่รู้”

อ่านต่อในเล่ม

.

.

.

Because of you

ที่ผมเป็นแบบนี้  ที่ผมไม่เคยลืม

มันก็เพราะคุณ

 

 

 

เปาะแปะ  เปาะแปะ

“คีย์”

ฉันยังไม่ลืมเธอ

 

            หยาดฝนโปรยปรายอย่างไม่ขาดสาย  ไม่เทลงมาหนักในครั้งเดียว แต่ก็ตกสม่ำเสมอไม่หยุดเช่นกัน ร่างกายชุ่มโชกจนเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางชื้นลู่แนบผิวเนื้อ  สายฟ้าแลบสว่างจ้า ตามด้วยเสียงฟ้าร้องลั่น  สายตามองภาพตรงหน้าอย่างพร่าเลือน

I’ll never forget, boy

I’ll never forget, boy

สายฟ้าทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง   เปิดโอกาสให้สายตาได้รับรู้เสี้ยวหน้าของเรือนร่างตรงหน้า  ดวงตารี่ลงเมื่อพบกับแสงสว่างวาบวูบ  ตามด้วยเสียงกึกก้องราวกับฟ้าจะถล่มลงมา

ดังลั่น…จนกลบเสียงเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจจนมิดชิด

ดวงตาเรียวปิดลงช้าๆ…นึกขอบคุณที่ฝนตกลงมาในเวลานี้

แม้ตาจะมองไม่เห็นชัดเจน  แต่ความชัดเจนของดวงตาหรือจะเท่ากับสิ่งที่ปรากฏในความทรงจำ   ห้วงสำนึกที่มองภาพแห่งความทรงจำสีจางซึ่งกำลังเคลื่อนไหวทำให้เขาตัดสินใจเปิดดวงตาที่ปราศจากแว่นตาที่คุ้นชินให้พบกับภาพตรงหน้าอีกครั้ง

เลือนราง…หากกระจ่างชัด

ฉันไม่เคยลืมเธอ

เหตุใด  คนเราจึงมักยอมให้ความทรงจำที่เจ็บปวดทำร้ายหัวใจตัวเองอย่างไม่ยอมจบสิ้น

เหตุใด   หัวใจของเขาจึงไม่เคยลบเลือนสัมผัสอุ่นที่แสนทรมานนั้นได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ  นานเท่าไหร่แล้ว

เปาะแปะ  เปาะแปะ

I miss you, I need you

สายฝนยังคงตกลงมาเช่นเดิม

เช่นเดียวกับสายน้ำในใจที่เอ่อไหลผ่านหางตา

“ได้ยินไหม?”

ที่ผมเป็นแบบนี้  ที่ผมไม่เคยลืม

มันก็เพราะคุณ…

ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ

“ผมรักคุณ”

อ่านต่อในเล่ม

.

.

.

เรื่องที่สาม คือตารางลำดับการจอง และการโอนเงิน

ตามที่ได้แจ้งไว้ตอนเปิดจองฟิคว่า คนที่จองก่อนมีสิทธิได้รับของแถมก่อนนะคะ   ตอนนี้นิ่มได้จัดหาของแถมไว้จำนวนหนึ่งแล้ว สำหรับคนที่สั่งจองมาก่อนตามจำนวนของแถมจะได้รับทุกคน ส่วนของแถมพิเศษขอสงวนสิทธิ์ไว้ให้สำหรับคนที่โอนเงินก่อนนะคะ  ซึ่งจะนำรายละเอียดมาให้อีกครั้งหนึ่งตอนใกล้โอนเงิน

ลำดับการจอง รายชื่อ  การติดต่อ ลำดับการโอน
 1. @AUMest TF002
 2. @8_worlds TF011
 3. @aom001 TF017
 4. @talipfyy TF016
 5. sarocha_kitpitak@hotmail.com TF019
 6. @locket_romeo TF015
7. 0ctogus
 8. @b_beshall TF020
9. BuRinZa
10. @puma925
11. papee_tu@hotmail.com
12. po.xevilq@gmail.com
 13. @ForFaii5 TF008
14. may2508_pp@hotmail.com
15. @peung_nie
16. Poko_145@hotmail.com /mo
17. @skpla_
18. sasiyyme@gmail.com
19. @mint5501286
 20. @REALCHOIFAN (twitter) TF018
21. ปุ้ย, zuneo_22@hotmail.com, passanan@gmail.com, @zuneo22, pui
 22. e-mail : k-kanyapak@hotmail.com TF009
 23. kaluiynafaiy_06@hotmail.com @kaluiYJpeia_591 TF005
24. @choiminholic_ TF014
25. keyahlimass@gmail.com
26. Twitter : @dreamboySHINee TF007
27. @PIRA_on34
 28. waan_spkize@hotmail.com TF004
29. ZRROANOT TF001
30. twitter:@whart9 line:ammie9 Facebook : So’cocor to-am TF006
31. Line : raiwada (มิ้นท์) TF022
32. @kanan91line
 33. twitter @noopor_jj TF023
 34. @giintoniic, k.sungjae_ii@windowslive.com TF010
35. @nahndoo  TF026
36. Fantastic_key@msn.com
37. Twitter @fine_mino TF012
38. cooleye4_nn@hotmail.com
39. aoom91@gmail.com (@aoomie) TF003
40. tonfai_natcha@hotmail.com
41. ta_lab_tab@hotmail.com (@shiningday15)
42. rodkeng-noona@hotmail.com (@SOBhiSOBhi)
 43.. nudaeng_2109@hotmail.com (@N_udaen_G) TF021
44. kaengzom.lee@outlook.com (@kangzomlee)
45. blue.jatuporn0201@gmail.com
46. realchoikim@hotmail.com (@Pkimkey)
47. imkimkheta@gmail.com
48. coffee.deva@gmail.com (fanfy_98)
49. @ribbonbear
 50. noo-jamookban@hotmail.co.th (@NooMint_Lucky) TF022

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่สนใจและติดตามฟิคของนิ่มนะคะ ขอบคุณที่ชื่นชอบผลงานและให้การสนับสนุน  ฝากติดตามฟิคเรื่องต่อไปด้วยนะคะ -/\-

y_prand

10

[LF]Sorry Guy, I’m not a GAY(Girl) CHAPTER VI : Confession

 

Sorry Guy, I’m not a GAY(Girl)

ตอนก่อนหน้านี้ (ไม่ติดรหัส)

https://keyprand.wordpress.com/about/long-fic-content/

6th CHAPTER  :  Confession 

 asdf

                สำหรับคีย์แล้ว  ถ้าจะอาภัพไปมากกว่านี้… เขาก็คงจะไม่สามารถโทษอะไรได้

                นอกจากความซวยของตัวเอง!!!!

กระจกวิเศษเอ๋ย  บอกข้าเถิด ใครเกิดมาซวยที่สุดในปฐพี

“คุณคีย์กับคุณผู้ชายรักกันจริงๆนะคะ”

คีย์หันกลับไปมองสาวใช้ของตระกูลชเวพร้อมตาที่เบิกกว้าง   แต่สาวเจ้าก็เผ่นหนีออกไปจากสายตาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบไม่ทันตั้งตัว   ร่างเล็กเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างรุนแรง  ระหว่างที่นั่งแหมะอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าปั้นยาก   ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายร้อนรุ่มหันกลับมามองภาพตรงหน้าพร้อมกับความพยายามที่จะดึงตัวเองออกจากการเกาะกุมเป็นครั้งที่ร้อยสามสิบ… หากอำนาจศีลธรรมอันดีที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจอันแสนอ่อนโยนของคีย์ก็แสดงอำนาจอีกครั้ง

คีย์ตัดสินใจยอมแพ้ และปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเหมือนเดิม…

เป็นคนดีเกินไปก็ลำบากแบบนี้ล่ะ…

คีย์เพิ่งเข้าใจประโยคที่ว่า คนดีกับคนโง่ บางทีก็ใกล้เคียงกันจนแยกไม่ออก ก็คราวนี้

เจ้าของร่างบอบบางในชุดแม็กซี่เดรสลูกไม้สีครีมยาวกรอมข้อเท้าแบบผู้หญิงจ๋าขยับตัวอย่างอึดอัด แม้ว่าความยาวของชุดจะปกคลุมเรียวขาไม่ให้โป๊เปลือยจนเสี่ยงต่อการถูกจับได้ก็ตามที หากส่วนบนของมันกลับทำให้คีย์รู้สึกถึงความวาบหวิว และโปร่งบางจนอยากกลับไปใส่แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบที่เคยใส่มาตลอดชีวิตเหมือนเดิม  ทั้ง ๆ ที่คีย์มั่นใจมาตลอดว่า กระโปรงคือมหันตภัยกับร่างกายของตัวเอง…เพราะลมเย็น ๆ ที่พัดอยู่ใต้ขายาวนั้นชวนให้รู้สึกวูบวาบเหลือเกิน   หากชุดที่กำลังใส่อยู่ในขณะนี้กลับเป็นมหันตภัยของจริงที่เขาต้องหยิบมันขึ้นมาสวม…จนอดคิดไม่ได้ว่า   หากย้อนเวลากลับไปได้.. เขาคงจะไม่มองผู้หญิงทั้งหลายที่ชอบใส่ชุดแบบนี้ด้วยสายตาโลมเลียอีกอย่างแน่นอน   เพราะเพิ่งรู้ถึงความร้ายกาจของ ‘เสื้อผ้าผู้หญิง’ แบบที่เขาเคยชื่นชมก็ตอนนี้

ไหล่บอบบางเปลือยเปล่า  อวดผิวสีน้ำนมเนียนละเอียดจนแทบกลืนไปกับสีเสื้อตั้งแต่คอระหงเรื่อยลงมาจนถึงเนินอกเรียบและแผ่นหลังขาวเนียน  สายเสื้อสองเส้นพาดบนไหล่เพื่อยึดเนื้อผ้าให้อยู่บนร่างแค่ข้างละเส้น   คีย์ตัดสินใจปล่อยผมยาวประบ่าที่ไว้ยาวมากว่าสามปีให้สยายยาวและคลุมผิวกายของตนไว้ด้วยความรู้สึกกระดากอาย    เขาแทบไม่รู้มาก่อนว่าชุดแต่ละชุดที่แม่จัดไว้ให้เขานั้นสร้างความลำบากให้เขามากขนาดไหน   อันที่จริงคีย์น่าจะสังหรณ์ใจตั้งแต่ที่หญิงวัยกลางคนที่ชอบแต่งตัวเหลือเกินอย่างแม่บอกว่าจัดกระเป๋าสำหรับการฮันนีมูนของเขาไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ลากมันไปด้วยเท่านั้นก็เพียงพอ….

อย่างน้อยแม่ก็ควรรู้ว่าลูกคนเล็กของแม่นั้นเป็นผู้ชาย…. และแม่ก็ควรจะระลึกเสมอว่าการที่เขาเข้ามาอยู่ในฐานะเจ้าสาวของตระกูลเชวนั้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย…นอกจากนั้นใคร ๆ ก็ควรจะเลิกทำเป็นลืมว่าเขาเป็นผู้ชายได้แล้ว!!!!

            คีย์คนนี้เป็นผู้ชายนะโว้ย!!!!!!

“โดยเฉพาะนาย …เชว มินโฮ”

“อือ… ”

เสียงครางแผ่วหวิว และสีหน้าซีดเผือดจนเหมือนกระดาษาทำให้คีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขณะที่มือข้างหนึ่งเปียกชื้นเพราะเหงื่อที่ซึมออกมาจนแทบตวงได้เป็นขวด มืออีกข้างของคีย์กลับขยับไปมาด้วยความกระวนกระวายเพราะไม่รู้จะวางไว้ทีไหน   เกือบเที่ยงแล้ว… แต่คีย์รู้สึกเหมือนร่างกายยังอ่อนเพลียจากเหตุการณ์วุ่นวายและสภาพจิตใจที่บอบช้ำจากเรื่องเมื่อคืน   ดวงตาที่ดำคล้ำทั้งสองข้างพร้อมจะปิดได้ตลอดเวลา…แต่คีย์กลับไม่สามารถทำมันได้ แม้ว่าตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยและเพลียจนแทบทรงตัวไม่ไหว  แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะล้มตัวลงนอน…

สายตาเฉี่ยวคมก้มมอง ‘อะไรบางอย่าง’ ตามด้วยการแยกเขี้ยวใส่อย่างหมั่นไส้ปนระอา

นอกจากจะเป็นต้นเหตุให้เขาต้องทำตัววิปริตผิดเพศ แต่งงานกับเพศเดียวกันพร้อมมาฮันนีมูนกันสองต่อสอง(?)บนเกาะส่วนตัว  เป็นสาเหตุให้เขาต้องติดบ้านร้างกลางเกาะท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองเกือบครึ่งคืนแบบละครน้ำเน่าหลังข่าวที่แม่บ้านชอบดู  รวมไปถึงการทำร้ายจิตใจและร่าง… เอ่อ  เรื่องนั้นช่างมันเถอะ  ภายในไม่กี่วัน ชีวิตของเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งต้องเปลี่ยนพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงเพราะคนเพียงคนเดียว…  แถมคน ๆ นี้ก็ยังทำให้เขาอยากจะจิกทึ้งหัวตัวเองอย่างแรงด้วยตอนนี้

            ชเว  มินโฮ!

ให้ตายเถอะ ให้ตายเถอะ

!!!!

            “ปล่อย มือ ฉัน เดี๋ยว นี้ นะ โว้ย!!! ”

เสียงหวานลอดไรฟันออกมาพร้อมกับดวงตาที่จิกถลึงเต็มที่  ทว่า…คีย์เองก็รู้ว่าไม่สามารถเปล่งเสียงให้เล็ดลอดไปถึงหูสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์แห่งตระกูลชเวที่อาจจะนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องนอนส่วนตัวอันหรูหรานี้ได้แม้แต่ศูนย์เดซิเบล…

ขืนสาวใช้(จอมสอดรู้สอดเห็น)ระแคะระคายอะไรไป คนที่ซวยไม่ใช่ใครเลย…

“ไอ้บ้า  ถ้าตื่นเมื่อไหร่ฉันจะฆ่าแก!!!”

ที่สำคัญคือ คีย์รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนเราพูดกับศพไม่ได้

คีย์ถอนหายใจแรง ก่อนแบะปากด้วยหน้าตาที่ยุ่งเหยิง  ยิ่งหันไปมองหน้าซีดเซียวและชื้นแฉะด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาเป็นแม่น้ำของอีกฝ่ายก็ยิ่งรู้สึกอ่อนใจ   คีย์ว่าตัวเองแย่แล้ว… เพราะทั้งสภาพจิตใจและร่างกายที่บอบช้ำอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น มันควรจะเป็นเขามากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายป่วยหนัก เป็นไข้หวัด ง่อยเปลี้ย ไม่มีแรง ไข้ขึ้นสูง นอนเพ้อ กระสับกระส่าย กินอะไรไม่ได้  หน้าซีด หนาวสั่น นอนให้คนอื่นเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ เหมือนคนป่วยหนักใกล้ตายแบบนี้

เท่านี้ก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่า’อะไรบางอย่าง’ที่ทำให้เขาไปไหนไม่ได้ อาการเป็นอย่างไรบ้าง

ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว อากาศยามเช้าที่แสนสดใสหลังจากพายุได้ผ่านพ้นไปทำให้คีย์ตื่นขึ้นมาบิดขี้เกียจด้วยความรู้สึกสดชื่น  แม้จะยังอ่อนเพลียอยู่บ้างก็ตาม  เสียงคลื่นที่ซัดสาดผืนทรายขาวละเอียดที่อยู่ข้างนอกฟังเพลิน ๆ คล้ายเสียงดนตรี  เสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ทำให้ร่างเล็กแทบไม่อยากลุกขึ้นมาจากผ้าห่ม

พอคีย์ลืมตาตื่นขึ้นมาแบบเต็มตา เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นห้องที่มีผ้าห่มอย่างหนาปูให้อย่างดี แถมบนตัวก็มีผ้าหนา ๆ ห่มจนแทบไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น  หากไม่ทันที่จะกวาดสายตาไปได้ทั่วห้อง เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อพบกับ’อะไรบางอย่าง’ที่นอนขดอยู่มุมห้อง… พร้อมกับเสียงฟันที่กระทบกันอย่างน่ากลัว

“เฮ้ย!!!!”

คีย์อุทานเสียงหลงจนลืมหน้าที่ความเป็นกุลสตรีเกาหลีอย่างที่แม่เคยสอนไว้  ก่อนกระโดดพรวดเดียวถึงร่างสูงใหญ่ยักษ์ปักหลั่นที่นอนกอดผ้าผืนบาง ๆ ไว้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริกราวกับกำลังโหยหาไออุ่น  คีย์ยื่นมือไปหวังจะวัดไข้ แต่ไอร้อนผ่าวที่สัมผัสได้แม้ว่ามือจะยังไม่ถึงก็ทำให้รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

            “ตายล่ะหว่า…ตาย …ตาย ”

เปล่า… หมอนี่ยังไม่ตาย แต่คนที่ท่าทางจะตายก็คือคีย์…

เกิดหมอนี่ปุบปับตายขึ้นมาคีย์ไม่กลายเป็นแม่ม่ายสามีตายตั้งแต่แต่งงานได้ไม่ถึงอาทิตย์เรอะ!!

            ม่ายยยยยยยยยยยยย      (มันใช่เรื่องนั้นไหมล่ะ -_-‘)

หลังจากประเมินสถานการณ์และลองวัดขนาดตัวระหว่างตัวเองกับคนป่วยแล้ว คีย์ก็พบว่าไม่ง่ายเลยที่จะพาคนป่วยหนักจากบ้านหลังนี้ไปที่คฤหาสน์ตากอากาศหลังใหญ่หน้าหาดได้โดยสวัสดิภาพ …เว้นแต่ชำแหละร่างของเชว มินโฮออกเป็นชิ้น ๆ แล้วขนไปทีละส่วนนั่นแหละ  สิ่งที่เขาทำได้ก็คือเช็ดเนื้อเช็ดตัวสามีกำมะลอให้ลดไข้  แต่พอเช็ดไปเช็ดมาก็พบว่าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายใส่อยู่ชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อทั้งตัว … ด้วยความที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นผู้ชายด้วยกัน แถมสภาพของหมอนี่ก็ดูแล้วไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงมาทำอะไรเขาได้   คีย์จึงวางใจจนรีบหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้อีกฝ่ายอย่างคนมีน้ำใจ… แต่ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็มักจะเข้ามาแทรกเสมอ ….

เทพเจ้าแห่งความซวยประจำตัวของเขาคงจะว่างงาน จึงช่างสรรหาเรื่องน่าปวดหัวมาให้เขาไม่เว้นแต่ละวันราวกับไม่รู้จักจบสิ้น…

เพียงเขาปลดกางเกงของเชว มินโฮออกจนเหลือเพียงชิ้นสุดท้ายเพื่อที่จะช่วยเปลี่ยนใหม่ให้ด้วยความหวังดี….เหตุการณ์ดังต่อไปนี้ก็เกิดขึ้น

สาวใช้สามคนเปิดประตูสภาพไม่ค่อยดีนักออกกว้าง  ไม่ทันที่จะได้ก้าวเข้ามาหา เสียงกรีดร้องแบบประสานกันอย่างน่ากลัวก็ดังลั่นจนคีย์ตกใจ   กว่าคีย์จะ ‘เข้าใจ’ ว่าหญิงสาวทั้งหมด ‘เข้าใจ’ อะไร   สาวใช้ทั้งหลายก็แทบจะวิ่งหนีกลับบ้านไปด้วยความเขินอาย เพราะรู้สึกผิดที่ได้เข้ามาขัดขวางสามีภรรยาที่กำลังสวีทหวานกัน (ด้วยภาพเหตุการณ์ที่ดูล่อแหลมและส่อให้คิดถึง ‘เรื่องนั้น’ โดยไม่มีอะไรโต้แย้งได้)

ร่างเพรียวบางที่ทั้งอ่อนแรง และมึนงงกับสภาพของคนตัวสูงอยู่แล้ว ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นสามเท่ากว่าจะอธิบายให้สามนางเข้าใจและเข้ามาช่วยพาเจ้านายที่อาการร่อแร่ของตัวเองกลับบ้านไปอย่างสวัสดิภาพ

คิดถึงตรงนี้แล้วคีย์ก็รู้สึกถึงหน้าที่ร้อนผ่าวจนแทบจะแตกออกมาให้ได้  เพราะแอบได้ยินเสียงซุบซิบของสาวใช้ทั้งสามที่บอกเล่าถึงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่คีย์พบเจอตั้งแต่เช้ากันด้วยความสนุกสนาน  แถมแต่งเติมเสริมแต่งจนติดเรทแทบฟังไม่ได้ อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรับฟัง ทั้ง ๆ ที่เจ้านายตัวเองก็กำลังไข้ขึ้นสูงอย่างหนัก   คิดไปแล้วก็เจ็บใจ … ทำอย่างนี้มันน่าหักเงินเดือนซะให้เข็ด

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากพาชายหนุ่มร่างยักษ์มาถึงห้องพักได้  ก็มีหมอและพยาบาลที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ด่วนมาลงที่เกาะตรงเข้ามาตรวจเช็คอาการให้อย่างดี   จนคีย์อดสงสัยไม่ได้ว่า หากพร้อมขนาดนี้ ทำไมจึงไม่จับพ่อเจ้าของเกาะกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลซะให้รู้แล้วรู้รอด  และแทนที่จะทิ้งนางพยาบาลไว้สักคนให้ดูแลคนป่วย  ก็ต้องเดือดร้อนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ต้องมานั่งเฝ้าดูแล‘คุณสามี’ด้วยท่าทางเหมือนกำลังดูแลคนป่วยโรคร้ายระยะสุดท้าย  ตั้งแต่เช็ดตัวกระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้า…(อีกแล้ว)

คีย์ถูกพ่วงติดกับเชว มินโฮโดยที่ไม่สามารถออกไปไหนได้  เพราะถูกมือหนาจับเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย… เขาร้องขอให้ทุกคนช่วยแกะมือตุ๊กแกนี่ให้  แต่ไม่มีใครยอมเข้ามาช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย

“อื้อ…”

สีหน้ากระสับกระส่าย และเหงื่อเม็ดโตที่ผุดออกมาอย่างน่ากลัวทำให้คีย์เบ้ปาก  มือเรียวที่ถูกเกาะกุมแน่นพยายามดึงมือตัวเองออกอีกครั้ง…  ก่อนจะพบว่ามันก็เป็นอีกครั้งที่ไม่สำเร็จ  มือเรียวอีกข้างจึงพุ่งตรงไปที่อ่างแก้วเพื่อชุบผ้าขนหนูกับน้ำเย็น   บิดหมาดอย่างทุลักทุเลและเอามาวางแปะบนหน้าผากที่กำลังโชกเหงื่อด้วยท่าทางราวกับกำลังประกาศความไม่เต็มอกเต็มใจของตัวเอง

“รีบ ๆ หายซะทีเถอะ….ก่อนที่ฉันจะไม่ทน”

อย่าให้โกรธขึ้นมานะ เชว มินโฮ

คีย์คิดอย่างงุ่นง่าน ขณะใช้มือข้างเดียวพยายามล้วงเข้าไปเช็ดมัดกล้ามเนื้อใต้เนื้อผ้าด้วยความทุลักทุเล หวังว่าสิ่งที่ทำอยู่จะช่วยลดไข้ให้อีกฝ่ายได้   และน้ำเกลือที่หยดมาตามสาย รวมถึงยาที่แพทย์ให้ไว้จะทำให้ชายหนุ่มหายป่วยในเร็ววัน

คิดไปแล้วก็อดใจหายไม่ได้…  คีย์ยอมรับอย่างปลง ๆ ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่  ไม่สิ …ตั้งแต่เขาปลอมตัวเป็นผู้หญิงเพื่อมาแต่งงานแทนพี่สาว คีย์ก็มีแค่มินโฮคนเดียวที่พอจะพูดได้ว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า   ถึงจะไม่ชอบขี้หน้านัก  แต่ชายหนุ่มก็เป็นคนเดียวที่เขาพอจะไว้วางใจในระดับหนึ่ง…  อย่างน้อยคีย์ก็อยู่ที่นี่ในฐานะภรรยาของมินโฮ   ฐานะนี้ทำให้คีย์รู้สึกราวกับถูกปกป้องอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีใครกล้าจะก้าวเข้ามาทำร้าย…

แต่พอมินโฮนอนป่วยเป็นไร้หนทางช่วยตัวเองได้อย่างนี้  คีย์ก็อดรู้สึกตงิดใจเล็ก ๆ ไม่ได้…ทั้งบ้านและเกาะส่วนตัวแห่งนี้ดูใหญ่เกินกว่าที่เขาจะอยู่ได้จริง ๆ

“รีบ ๆ หายซักทีเถอะ…ฉันเหนื่อยแล้ว ” สารภาพด้วยเสียงแผ่วเบา         มือข้างที่เกาะกุมชื้นไปด้วยเหงื่อ…ที่น่าจะมาจากมือเขาด้วยซ้ำไป

คีย์รู้สึกเหนื่อย…  หลายวันมานี้ เขาแบกรับหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้ในหัวจนรู้สึกว่ามันพร้อมจะระเบิดเอาได้ในเวลาไม่นาน

เมื่อไหร่นะ… ชีวิตของคีย์จึงจะหยุดวุ่นวายเสียที

ดวงตาสวยปิดลงอย่างอ่อนแรง… ลมหายใจแผ่วหวิวผ่อนเข้าออกอย่างเชื่องช้า   คีย์ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเอง

คงจะดีไม่น้อย…หากมินโฮรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขาได้

คงดี…ถ้าเขาสามารถหลับตานอนได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าความลับจะเปิดเผยระหว่างที่กำลังหลับสนิท

            “เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม”

คีย์ได้ยินคำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัว…

จะเชื่อได้หรือเปล่า…

“จะเชื่อนายได้ไหม…เชว มินโฮ”

            เชื่อใจว่านายจะเป็นเพื่อนที่ดีกับฉันได้  แม้ว่านายจะรับรู้ความจริงทั้งหมดแล้วก็ตามที

เจ้าของร่างเพรียวตั้งคำถาม… ก่อนที่การสำนึกรู้ทั้งหมดจะหายลับไปพร้อมกับไออุ่นที่เคลื่อนเข้ามาโอบกอดร่างเล็กไว้หลวม ๆ จนจมลึกอยู่ในห้วงนิทราในที่สุด

Sorry Guy, I’m not a GAY(Girl)

“อือ…”

คีย์หลุดจากห้วงนิทราอันนิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่ออย่างช้า ๆ เปลือกตาสวยพยายามเปิดขึ้น  หากแสงจ้ากลับทำให้เขาต้องกระพริบตาถี่  แพขนตาหนากระพือขึ้นลง  ก่อนที่สติสัมปชัญยะจะกลับคืนมา ร่างเล็กบางพบว่าตัวเองนอนอยู่บนกลางเตียงหนานุ่ม พร้อมผ้าห่มผืนโตที่ควรจะคลุมร่างของใครอีกคนเอาไว้….

            “เฮ้ย!!!”

            เขาสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันที ดวงตาเรียวสวยกวาดมองไปรอบ ๆ เตียงกว้างอย่างหวาดระแวง พร้อมสองแขนที่ปะป่ายอย่างรอบคอบ    และเขาก็พบว่าเตียงฝั่งขวายังมีรอยบุ๋มลึก รวมถึงรอยอุ่นจาง ๆ หลงเหลืออยู่บ้าง  ราวกับอีกฝ่ายเพิ่งลุกออกไปไม่ถึงสิบนาทีนี้

“กลัวผมลักหลับเหรอคุณ… ” เสียงทุ้มเบาปนหัวเราะเอ่ยขึ้นแทรกความมืดและเสียงหัวใจที่เต้นแรงของคีย์ จนใบหน้าได้รูปหันขวับไปยังต้นเสียงพร้อมเม้มปากแน่นสนิท  คิ้วโก่งงามขมวดมุ่น พร้อมกับประกายดุในดวงตา

“ฉะ…ฉันมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!!!”

ร่างสูงใหญ่คมเข้มในชุดนอนยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียงมากนัก    ใบหน้าคร้ามแดดปรากฎรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนที่ขายาวเรียวจะก้าวอย่างสม่ำเสมอไม่รีบร้อนตรงมาที่เขา พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้เขารู้สึกประหลาด

“ถามตัวคุณเองดีกว่า…ว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง  ไม่ใช่ถามผม”

“ก็ฉัน!….” คีย์พยายามจะส่งเสียงดังสยบ ‘สามี’ ของตนเองเช่นทุกครั้ง   หากอาการปวดหนึบที่พุ่งจี๊ดขึ้นมาในหัวทันทีทันใดนั้นทำให้เขาปิดปากทันใด  และกุมขมับของตนไว้แน่น  “ไม่น่าเลย…”

คงเพราะนอนไม่พอมาหลายวัน แถมยังเจอทั้งอากาศหนาว เจอฝน แถมด้วยสภาพภูมิอากาศที่ไม่คงที่นัก แถมยังลุกนั่งกระทันหัน  อาการปวดหัวหนัก ๆ จึงเข้ามารุมเร้าคีย์อีกครั้ง  แม้เขาจะรู้ดีว่าอาการประจำตัวแบบนี้แค่นั่งนิ่ง ๆ สักพักก็หายไป   แต่การเกิดตอนที่กำลังต่อกรกับอีกฝ่ายแบบตอนนี้ มันช่าง’เสียที’อย่างสิ้นเชิง

“ไม่สบายเหรอคุณ…”

“ไม่ต้องมาถาม  เพราะนายนั่นแหละ”  คีย์ตวาด ทั้ง  ๆ ที่ก้มหน้าพลางนวดขมับตัวเองอย่างขมีขมัน   แผ่นอกบางพยายามสะท้อนขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ

“โอ๊ย ปวดหัว… หยุดถามซักทีได้ไหม  ฉันไม่ไหวแล้ว”

“แย่ล่ะสิ ผมมีเรื่องจะถามคุณอยู่พอดี”

“อะไรของนาย… เอาไว้คราวหลังได้ไหม ฉันเหนื่อย”

“ไม่ได้” เสียงทุ้มย้ำหนัก  ดูจริงจังไม่ต่างจากตอนที่คีย์ถามเรื่องคู่หมั้นคนนั้น  จนร่างเพรียวที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงขยับถอยหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว

“อะ… อะไร”  เสียงเขาสั่น  ความหวาดระแวงเกาะกินหัวใจอีกครั้ง

‘หมอนี่เกิดเพี้ยนอะไรอีก… ’

พิสูจน์กันมาหลายครั้งแล้วว่าเรี่ยวแรงของเขาน้อยกว่าอีกฝ่ายมากนัก… คีย์รู้ว่าหากถูกจู่โจมอีก  บางทีรู้ว่าถ้าเขาไม่ขาดใจตายไปก่อนเพราะพละกำลังของมินโฮ   เขาก็คงกัดลิ้นตัวเองตายเองแน่ ๆ

อย่าเข้ามานะโว้ย!!

“ผมต้องการรู้คำตอบตอนนี้… ว่าเรื่องทั้งหมดมันคืออะไร”

“เรื่องทั้งหมด? ตอนที่ฉันพานายกลับบ้านเหรอ? ” คีย์ถามซื่อ สมองของเขาประมวลผลช้าจนรู้สึกหงุดหงิด เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่า ‘เรื่องทั้งหมด’ ที่คนเพิ่งหายป่วย แถมยังเดินปร๋อทำหน้าเคร่งขรึมตรงเข้ามาหมายถึงอะไร

กระทั่ง…น้ำเสียงเย็น ๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้น พร้อมกับจดหมายฉบับเล็กที่ปลิวขึ้นมาอยู่บนตัก

 “ผมอยากรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่… “

แค่กวาดตามองปราดเดียว….คีย์ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   ดวงตาเรียวสวยมองเลยไปยังเบื้องหลังที่ชายหนุ่มเพิ่งเดินจากมาด้วยหัวใจสั่นระทึก  กระเป๋าสีสวยหล่นกองอยู่เบื้องล่าง  ข้าวของข้างในจึงหล่นกระจัดกระจาย

จบสิ้นแล้ว….

ชีวิตของคีย์….ตายแล้ว!

 “แล้วใครที่เป็นเจ้าสาวตัวจริงของผม  คุณคิบอม”

“น…นายพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” ชื่อนั้นทำให้สันหลังของคีย์เสียววาบ นานแล้วที่ไม่มีคนเรียกชื่อนี้

หากคีย์ตัดสินใจตีมึน ทำหน้านิ่งและปฏิเสธเป็นอันดับแรก  ทว่า…เขารู้ดี  คนที่มีสายตาคมกริบมองลึกอย่างชเว มินโฮน่ะหรือจะไม่รู้ว่าดวงตาของเขากำลังหวาดกลัวเพียงไร

“ไม่บอกเหรอคิบอม…”  มินโฮทำหน้าเรียบเฉยขณะย่างสามขุมเข้ามา  แค่ระยะเวลาจากเช้าถึงเย็น  ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะหายป่วยได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

หากมินโฮทำกับเขาเหมือนเมื่อวาน…. ทำเหมือนตอนที่ขาดสติจะเกิดอะไรขึ้น

ไหนบอกว่าจะไม่ทำแล้ว… ไหนสัญญาแล้ว

            เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ…บอกว่าเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ

            คีย์ถดกายหนีจนกระทั่งรู้สึกว่าแผ่นหลังติดกับหัวเตียงด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้   ความจริงก็คือ เขาไม่กล้าแม้แต่จะทวงสัญญา   เพราะไม่ฉะนั้นมันอาจจะกลายเป็นเชื้อไฟที่ส่งเข้าไปทำให้กองไฟคุโชนยิ่งขึ้นไปอีก

เขากลัว….กลัวจนอยากจะคิดว่ามันเป็นแค่ฝันไป    คีย์แอบจิกเนื้อตัวเองแรง… ด้วยความหวังว่าคงจะตื่น

หากไม่ใช่   ประกายแห่งความผิดหวังภายในดวงตาคมฉายลึก โดยเฉพาะสีหน้าเรียบ หากเหี้ยมโหดราวปีศาจนั่นอีก

“คุณพูดอะไร…  ฉ..ฉะ ฉัน ไม่เห็นรู้เรื่อง”

คีย์ลืมอาการปวดหัวของตัวเองเป็นชั่ววินาที  ร่างเล็กม้วนตัวกระโดดลงไปยืนข้างเตียงอย่างรวดเร็ว  เมื่อร่างสูงกว่าเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมทำท่าคว้าตัวเขาเพื่อทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากจะคิด  คีย์หอบสะอื้นทั้งที่ไม่มีน้ำตา  ก่อนวิ่งตรงไปที่ประตู  และคว้าลูกบิด

ทว่า…มันกลับเปิดไม่ออก

“ห้องนี้ล็อคจากข้างในได้… และคนที่มีกุญแจเท่านั้นถึงจะเปิดออก”

“ว…ว่าไงนะ” คีย์ร้องเสียงหลง    ประโยคนั้นทำให้เขาเข่าอ่อนจนแทบทรงตัวไม่ได้

บางที… ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก  เขาน่าจะเป็นขโมยมากกว่านักต้มตุ๋น

            “อย่าเข้ามานะ …ไม่งั้นฉันจะร้องจริง ๆ ด้วย”  ร่างบอบบางเบียดกายจนแทบแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฝาผนัง  และตะโกนบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอันสั่นระริก   หากเสียงหัวเราะดังลั่น และสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยของอีกฝ่ายทำให้เขาอยากกัดลิ้นตัวเองตายจริง ๆ

“ผมให้ทุกคนออกจากบ้านนี้หมดแล้ว ตอนนี้ ทั้งบ้านมีแค่คุณ….กับผม  ต่อให้คุณร้องดังแค่ไหน  ก็ไม่มีใครได้ยิน”

“นะ…นาย  หมายความว่ายังไง”

“คุณกลัวผมไม่ใช่เหรอ?”

สายตาหยาบโลนมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า   สมองของคีย์หาทางหนีทีไล่  หากดูเหมือนทุกหนทางจะถูกควบคุมเอาไว้ด้วยเจ้าของดวงตาอำมหิตคู่นั้นหมดแล้ว    สิ่งของที่จะใช้เป็นอาวุธได้ก็หายไปจากสายตาจนหมด

ในระยะที่มือสามารถเอื้อมคว้าได้…ก็คงมีแค่ผ้าห่ม กับผ้าปูที่นอนที่จะมารัดคอตัวเองตายได้เท่านั้น

บ้า…บ้าที่สุด

กลั้นหายใจตายได้ไหม… คีย์อยากตาย

“ร่างกายของคุณ… ก็น่าสนใจดี”

“นะ…นี่…   พะ  พูดอะไรน่ะ”  คีย์แทบปล่อยโฮ  เสียงสั่นระริกตะโกนแบบไร้เสียง

            ฆ่ากันดีกว่า….บีบคอเขาให้ตายไปเลยดีกว่า

“ก็ถ้าคุณยังไม่สารภาพว่าคุณเป็นใคร…ผมก็จะพิสูจน์เองว่าความจริงคุณเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงน่ะสิ”

“ฉัน… ไม่รู้   เรื่อง…   อันนั้นก็เป็นจดหมายที่ฉันคุยกับกับรุ่นน้อง..  กะ  ก็…   ”

ถ้าเกิดอะไรขึ้น  ก็แถไปก่อน …

            อะไรก็ได้… ถ้าถ้าไม่เชื่อก็บีบน้ำตา ใช้มารยาหญิงไปซะ 

“ เอาจริง ๆ คุณรู้อะไรไหม  ผมก็คิดอยู่แล้วว่าทำไมคุณไม่มีหน้าอก…”

“ถ้าฉันรวยฉันก็ไปเสริมแล้วล่ะ…  นะ หน้าอกนี่… ผู้หญิงอกเล็กมีปัญหาเหรอไง”

“อ๋อ… หน้าอกเล็กนี่เอง…”  ชเว มินโฮ เอ่ยทวน พร้อมกับเดินตรงดิ่งเข้ามา  จนคนยืนสั่นอยู่แทบล้มพับลงไปด้วความหวาดกลัว  “ผมก็อยากรู้น่ะสิ…ว่าคุณอกเล็กจริงหรือเปล่า”

“มะ … มองอะไรน่ะ!!  อย่าเข้ามานะ   ไม่งั้น… ฉัน…” คีย์ขู่อย่างไร้หนทาง      ยิ่งอีกฝ่ายเอ่ยประโยคต่อมาเขาก็เบิกตากว้าง… และปล่อยทำนบน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่เก็บกลั้น

“ผมลืมบอกคุณไปหรือเปล่านะ.. เอ…บอกหรือยังนะ”

“ระ…เรื่องอะไร”

“ก็… เรื่องรสนิยมของผมน่ะสิ”  ร่างสูงใหญ่ตระหง่านตรงเข้ามาด้วยความเร็วที่เขาไม่อาจคาดเดาได้  มือแกร่งคว้าหมับที่แขนบอบบาง  ก่อนที่แรงกระชากจะทำให้เขาเสียหลัก และหวีดร้อง  “ ผมบอกคุณว่าเป็นเกย์ใช่หรือเปล่า…  แต่ผมลืมบอกคุณไปอย่างหนึ่ง  ”

“ปล่อย!!!!”

            “ผมน่ะ …ได้ทั้งชายและหญิงนะ”

            ร่างบอบบางเซถลา พร้อมกับแรงเหวี่ยงที่ทำให้เขากลับไปอยู่บนเตียงกว้าง….  คีย์ไม่อาจทำสิ่งใดแม้กระทั่งลุกขึ้นและขยับหนี   ทุกอย่างฉับไว จนแค่รู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น  เขาก็ไม่อาจต่อต้านเรือนกายหนาที่ทาทาบลงมาบนร่างของเขาได้แล้ว

“ไหนนายสัญญาไว้แล้วไงว่านายจะไม่ทำอะไรฉัน” เสียงอ่อนระโหยเรียกร้องคำสัญญา… แม้จะรู้นั่นจะเป็นสัญญาณสุดท้ายของความปลอดภัยของเขาก็ตาม

ใช่…  สุดท้ายแล้ว   เพราะประโยคนั้นทำให้ดวงตาที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงให้ความโกรธเกรี้ยวของมินโฮรุนแรงขึ้น  จนดูเหมือนจะแผดเผาเขาให้ตายลงไปได้เพียงแค่มอง

“ผมสัญญาตอนที่ผมยังไม่รู้ว่าคุณมีเรื่องโกหกผม…โกหกคุณแม่ โกหกทุกคนไว้น่ะสิ”

“เชว… มินโฮ…   ปะ ปล่อย…”

“คุณบอกเองว่าผมเป็นคนโกหกไม่ใช่เหรอ…    คุณโกรธผม บอกว่าผมโกหกหลอกลวง…แล้วคุณล่ะ”

“ฉันไปโกหกอะไรคุณ!!!!”

“ต้องให้ผมบอกหรือไง… หือ?”

“ยะ…อย่าเข้ามานะ”

“ผมไม่ชอบคนโกหก…  แล้วก็มีวิธีลงโทษคนโกหกแบบเฉพาะตัวด้วย”

“ยะ…อย่า  อย่านะ… ” คีย์ปัดป่ายสุดกำลัง    แขนและขาสะบัดดิ้นสุดแรง   หากเพียงแค่มือใหญ่ข้างหนึ่งรวบข้อมือทั้งสองขึ้นสูง   มืออีกข้างที่บีบสะโพกงามงอน และขาแกร่งสองข้างที่ตรึงส่วนล่างของเขาจนยึดให้ติดกับเตียงนั่น  เขาก็ไปไหนไม่รอดแล้ว   น้ำตาของคีย์ไหลทะลักจนเปรอะเปื้อน   และทำให้ดวงตาของคีย์พร่ามัวจนมองไม่เห็นสีหน้าของคนที่กำลังมากกว่า

“ปล่อย  ปล่อยฉัน ปล่อยยย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ  ปล่อ… อือ…. ”

ริมฝีปากของคีย์ถูกปิดสนิท  พร้อมจูบหนักหน่วงหยาบกระด้างที่พุ่งเข้ามาตักตวงสิ่งที่ต้องการไปอย่างไม่มีปรานี   คีย์หวาดกลัวมากกว่าทุกครั้ง…กลัวยิ่งกว่าเมื่อคืน    เพราะการเคลื่อนไหวทุกอย่างของมินโฮในขณะนี้ไม่มีการผ่อนแรงเลยสักนิด  หากเทียบกับความตระหนกที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…   ตอนนี้  เวลานี้ …. มินโฮเหมือนฆาตรกรโรคจิตที่พร้อมฟาดแส้แห่งความเหี้ยมโหดลงมาที่เขาอย่างไม่ยั้ง

“ยะ…อย่า … อย่า ฉันยอมแล้ว “

ฝ่ามืออีกข้างที่วนอยู่เหนือสะโพกเลื่อนลงไปตามเรียวขางาม  และถกเนื้อผ้าโปร่งเบาขึ้นอย่างหยาบโลน

“ยอมแล้วก็อยู่นิ่ง ๆ สิครับคุณภรรยา…”  มินโฮหัวเราะให้กับความพ่ายแพ้ของจอมต้มตุ๋น  เขาเอ่ยราวกับมันเป็นเรื่องที่น่าขำ   “เรื่องของผัวเมีย… ยังไงเราก็ต้องเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว  เริ่มต้นซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่”

ฝ่ามือแกร่งกระชากผ้าส่วนบนลงจนฉีกออกจากกัน แล้วจึงดึงบราเซียร์ลูกไม้ที่ปกปิดแผ่นอกอันเรียบสนิทของ ‘ภรรยากำมะลอ’ ออกโดยไม่ปลดตะขอ  และไม่กลัวว่าอีกคนจะเจ็บ

            บ้าชะมัด… ไม่น่าหลงหน้าหวาน ๆ นี่เลยแม้แต่นิดเดียว

ร่างกายบอบบางอ่อนระทวยอย่างน่าประหลาด…สั่นสะท้าน และตื่นกลัว   ร้องเสียงลงทุกครั้งที่ฝ่ามือของเขาไต่ลงต่ำ

“ยะ…อย่า… อย่า ”

มินโฮรู้สึกเหมือนหมาป่าที่กำลังวิ่งไล่ลูกแกะน้อยที่ไม่มีทางสู้ …. วิ่งต้อนให้จนมุม  ไล่ตะครุบ  แล้วก็ปล่อยให้แกะน้อยวิ่งหนี  ก่อนตามไปไล่จับ…ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าด้วยความเพลิดเพลิน

นี่แหละ บทลงโทษของคนโกหก…

ในเมื่อรังเกียจเขาดีนัก…จะได้ลิ้มรสชาติของความเกลียดชังจนขาดใจตายไปเลย!

“ผม…ผมกลัวแล้ว”

มินโฮรับรู้ความพ่ายแพ้ของร่างบอบบางข้างใต้จากเสียงระโหยอ่อน และสีหน้าหวาดกลัว เสียขวัญนั้น  หากเขากลับไม่สามารถหยุดตัวเองได้   คล้ายว่าสันชาตญาณสัตว์ป่ากำลังครอบงำเขา ให้สนุกกับการได้เล่นสนุกกับร่างกายที่ไม่อาจต่อต้านเขาได้เลยนั้น

อาจเป็นเพราะรสสัมผัสที่แปลกใหม่…และกลิ่นกายเฉพาะตัวแบบที่ไม่เคยพบจากใคร

หรือไม่… ก็คงเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง

ที่ทำให้มินโฮปล่อยมือจากร่างเล็กนี้ไม่ได้

“หือ..ว่าไงนะ”

ฝ่ามือหนาคลึงอยู่บนเนื้อผ้าผืนบางที่ป้องกันสะโพกงามไว้  นิ้วเรียวยาวขยับใกล้ขอบกางเกงผ้ายืด  ผิวขาวเนียนปรากฎต่อสายตาจนมินโฮแทบจะต้องกลั้นใจ

ผิวกายนุ่มนิ่มแทบจะทำให้มินโฮคลั่ง… จากครั้งแรกที่ตั้งใจหยอกเล่นเพื่อลงโทษคนขี้โกหก  แล้วจึงค่อยหาทางลงโทษทางกฎหมายต่อไป

หากตอนนี้… กลับรู้สึกเหมือนยากเหลือเกินที่จะหยุดอะไรต่อมิอะไรที่กำลังพรั่งพรูอยู่ในใจให้กลับไปที่เดิม

มินโฮจูบหนักบนหน้าท้องที่แบนเรียบ… ฝ่ามือทั้งสองประคองสะโพกกลมมนไว้อย่างเผลอไผล  ขนาดนี้แขนทั้งสองวางอยู่เหนือขาเรียวยาว   ร่องรอย

เป็นครั้งแรก…  ที่เกินเลยมาถึงขั้นนี้

ร่างบอบบางนุ่มนิ่มและไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่น่าเชื่อ…  ทั้งเนื้อทั้งตัวที่อ่อนระทวยราวกับกำลังเรียกร้องเขา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ยินยอม  ผิวกายที่สั่นระริกยิ่งทำให้เขาสนุกทุกครั้งที่ก้มลงฝากรอยสีกุหลาบ  พลังมืดดำของอะไรบางอย่างกำลังทำให้เขาเป็นบ้า…  โดยเฉพาะเมื่อทุกจุมพิตร้อนรุ่มถูกทดแทนด้วยเสียงคร่ำครวญและเสียงสะอื้นที่แทรกผ่านลมหายใจแหบพร่า…

“ยะ..อย่าทำอะไรผมเลย”

และหัวใจที่เต้นแรงขึ้นทุกทีของมินโฮ

“ผะ…ผมคือคิบอม…เป็นน้องชายของพี่ฮยอนอา… ผะ.. ผมเป็นผู้ชาย  ผมเป็นผู้ชายจริง ๆ นะ… อย่าทำอะไรผมเลย…”

มินโฮแทบจะหัวเราะให้กับคำสารภาพด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักนั้น…

บอกความจริงตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร

            ในเมื่อร่างกายของเขา… 

            มันไม่ยอมรับฟังเอาซะเลย

TBC.

แลดูงง ๆ …

15

The FIRST | END. 100 %

 Blue-Umbrella-In-The-Rain

 

“ทำหน้าให้มันสมกับที่จะออกจากโรงพยาบาลหน่อยสิวะ” จงฮยอนผลักหัวทุย ๆ ของคนที่เพิ่งหายจากไข้หวัดใหญ่หลังจากสตาร์ทรถแล้ว  เขาตั้งใจจะส่งคีย์ถึงห้อง และช่วยดูแลในฐานะเพื่อน ดวงตาเลื่อนลอยทำให้จงฮยอนรู้ว่า  ไข้ใจของเพื่อนคงรักษาให้หายไม่ได้ง่าย ๆ

มือเล็กเรียวปัดแขนเพื่อนออกด้วยความรำคาญ หากเพื่อนร่างเล็กกลับหัวเราะก๊ากที่คีย์เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว หลังจากอาการทรุดหนักมาเกือบสามวัน

“กูเพิ่งอกหัก…มึงจะให้กูยิ้มร่าเริงเล่นตลกกับมึงเหรอวะ” คีย์บอกเสียงอ่อน   แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยที่ยังมีเพื่อนคอยอยู่ข้าง ๆ

“เดี๋ยวก็ดีขึ้น”  จงฮยอนผลักหัวเพื่อนอีกที  คีย์ยอมโยกไปตามแรงผลักนั้น ก่อนยกมุมปากขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน   เขาจึงถามต่อ  “แล้วมึงจะง้อมินโฮมันต่อไหม ”

“อือ..”

“แล้วถ้ามันยังงี่เง่าอยู่”

“กูงี่เง่ามาได้ตั้งหลายปี มินโฮยังทนกูได้เลยนี่นา”

“เออ… ไม่มีใครงี่เง่าไปกว่าพวกมึงแล้ว”  จงฮยอนเอ่ยยืนยันคำพูดของเพื่อน “ตอนมินโฮรักมึง… มึงก็รักคนอื่น     พอมึงเปลี่ยนใจมารักมินโฮ  มันก็ทิ้งมึงไป งี่เง่าจริง ๆ”

จงฮยอนเปรยอย่างเซ็ง ๆ แล้วจึงเหลียวมองกระจกข้างตามปกติ  รถคู่ใจค่อย ๆ เคลื่อนไปพร้อม ๆ กับดวงตาที่เบิกกว้างของเขา

เจ้าของร่างหนาพ่นลมหายใจแรงออกมา  เมื่อภาพทุกอย่างปรากฏชัดเจนต่อหน้า

“ไอ้บ้า…”   จงฮยอนพึมพำกับตัวเอง   พร้อมสบถเบาด้วยความหงุดหงิดใจ   และยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก เมื่อคนที่นั่งเหม่อลอยเอ่ยขึ้นมา

“กูเข้าใจมินโฮ… ถ้าเป็นกู  กูก็คงไม่ทนเหมือนกัน”

ดวงตาของคีย์แดงก่ำ  หากริมฝีปากกลับเม้มสนิทราวกับกำลังห้ามไม่ให้น้ำใส ๆ ไหลลงมาแข่งสายฝนภายนอก

“กูจะรอ…”

เสียงของคีย์หนักแน่นจนจงฮยอนอยากให้คนที่ยืนมองพวกเขาจากเบื้องหลังเมื่อครู่ได้ยิน  ไอ้คนร่างสูงที่ปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไป   แต่ไม่เคยมีสักวันที่ทิ้งคนป่วยไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียว  แม้ว่าคีย์จะไม่เคยได้มีโอกาสเห็นก็ตาม

“รอให้มันกลับมาเหรอ”

คีย์ส่ายหน้าปฏิเสธประโยคนั้น   เสียงของเขาสั่น…

“กูจะรอให้มินโฮเชื่อ… เชื่อใจความรักของกู” คีย์แค่นหัวเราะ…ปลายนิ้วคลึงอยู่บนแหวนเนื้อเกลี้ยงที่สวมอยู่บนนิ้วนาง “มันคงจะดีนะ.ถ้ามีวันนั้น”

“แล้วพี่ซึงอยอนของมึงล่ะ”

“มึงเคยไหม รักใครคนนึงมาก ๆ …รักครั้งแรกที่แสนประทับใจ  ผ่านไปนานแค่ไหนหัวใจก็ยังเต้นแรงทุกครั้งคิดถึงเขา แต่มึงรู้อยู่แก่ใจว่ามึงคบกับเค้าไม่รอด  ไม่ว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้”  คีย์อธิบายด้วยเสียงเบาหวิว  แทบจะไม่ดังไปมากกว่าเสียงกระซิบ

“กูรู้สึกกับพี่ซึงฮยอนแบบนั้น… ”

“แล้วมินโฮล่ะ” จงฮยอนโพล่งขึ้นมา “มินโฮเป็นอะไรของมึง”

คีย์มองไปยังสายฝนที่กำลังตกกระหน่ำลงมาข้างนอกกระจก  ที่ปัดน้ำฝนยังคงทำงานอย่างเป็นจังหวะ  ฝนจากพายุที่พัดกระหน่ำเข้าโซลมาหลายวัน

ฝนที่มินโฮเคยกางกั้นไม่ให้เปียกเขาอยู่เสมอ

ความรักของมินโฮ  คอยปกป้องคีย์อยู่เสมอ

“มินโฮเป็นทุกอย่างของกู… ”

“พวกมึงนี่มันงี่เง่า…โคตรจะงี่เง่า ไม่เคยเห็นใครงี่เง่าเท่าพวกมึงสองคนมาก่อนจริง ๆ ”    จงฮยอนพ่นลมออกมาคล้ายจะเอือมระอาความคิดนั้น  ก่อนเอ่ยด้วยประโยคที่ทำให้ทำนบน้ำตาของคีย์พังลงมา

สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด…ไม่ใช่การถูกปฏิเสธความรัก   ไม่ใช่การไม่รู้ว่าเรารักกันแค่ไหน

คำว่ารักไม่ได้เอ่ยยากเลยสักนิด  มันง่ายกว่าการประคองความรักให้ไปตลอดรอดฝั่งเสียอีก

แต่เรื่องที่เจ็บที่สุดก็คือ  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ารักกัน  แต่กลับทำอะไรไม่ได้  ทำให้เรื่องทุกอย่างกลับไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้

            “รักกันแท้ๆ  แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้  งี่เง่าจริง ๆ”

คีย์เพิ่งสำนึกในตอนนี้

ความจริงแล้ว

‘รัก’ มันไม่ใช่ทุกอย่างจริง ๆ

 

ขาดเธอไปสักคนนึง  ฉันหลงทาง

แสนอ้างว้าง  โง่เขลา

ลมหายใจ อ่อนลง

และฉันคงเป็นไปอีกนาน …แสนนาน

โปรดบอกทีว่าฉันควรทำเช่นไร เมื่อไม่มีเธอ[1]

            ‘วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สทำเค้กแล้วล่ะ 

            อาจารย์บอกว่าจะสอบด้วยเค้กก้อนสุดท้าย  แถมบอกด้วยว่าจบคอร์สนี้ก็ไปเปิดร้านขายเองได้แล้ว ㅋㅋ

                ถ้าฉันเรียนจบไปแล้วเปิดร้านเบเกอรี่ คุณพ่อคุณแม่จะตกใจหรือเปล่านะ

            อาจารย์บอกว่าเค้กของฉันอร่อยมาก ๆ เลยนะ

            ถึงไม่อร่อยเท่าที่หมีเคยทำให้ก็เถอะ

 

คีย์กวาดตามองข้อความกึ่งบันทึกที่ถูกส่งไปให้อีกคนตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วจึงยิ้มเศร้า  ความรู้สึกขม ๆ ไล่ขึ้นมาเกาะอยู่ที่โคนลิ้นอีกครั้งเมื่อพบว่าข้อความอัตโนมัติของระบบขึ้นแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านเพิ่งมันไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน   ร่างผอมบางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น   แม้ว่าจะชินชากับความรู้สึกนี้  แต่ก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยเพี่อเยียวยามันอยู่

รสชาติฝาดเฝื่อนที่อยู่ในปากตอนนี้คงเป็นรสเดียวกับที่มินโฮเคยลิ้มรสมาก่อน   หัวใจบีบแน่นอึดอัดและหน่วงหนักในอกก็คงเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน

น้ำตาของคีย์หยุดไหลมานานแล้ว    คีย์มั่นใจว่าป่านนี้มันคงรวมตัวกันเป็นตะกอนก้อนหนัก ๆ ที่จมอยู่ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ ทับถมจนทำให้คีย์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเช่นนี้ในทุก ๆ วัน

เขาไม่แน่ใจว่าจะอดทนไปได้อีกนานแค่ไหน…

อดทนเพื่อบอกรักต่ออากาศที่ไม่มีตัวตนเช่นนี้

หรือบางทีนี่อาจจะเป็นบทลงโทษที่คีย์ต้องชดใช้ไปตลอดชีวิต

“คิบอม มานี่หน่อยเร็ว” คีย์สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงเรียกของอาจารย์เชฟ  คีย์หย่อนสมาร์ทโฟนลงในกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วจึงเดินไปหาต้นเสียงด้วยรอยยิ้ม

“ครับ”

“วันนี้วุ่น ๆ หน่อยนะ เพราะจะมีคนมาถ่ายทำบรรยากาศ แล้วก็สัมภาษณ์โปรโมทโรงเรียนเรานิดหน่อยนะ  ถ้ายังไงอาจจะให้คิบอมช่วยนิดหน่อยนะ”

“อ้อ… ได้ครับ  ให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ”

อาจารย์เชฟวัยสามสิบต้น ๆ หัวเราะเบา และตอบด้วยท่าทางสบาย ๆ

“ถ้าเค้าถามอะไรก็ตอบ ๆ ไปแล้วกัน ไม่มีอะไรหรอก”

บรรยากาศของการเรียนในวันนั้นค่อนข้างวุ่นวายพอสมควร  ด้วยมีกล้องและอุปกรณ์แปลกตาจำนวนมากถูกขนเข้ามาพร้อมกับสต๊าฟสี่คน  แต่ละคนค่อนข้างพิถีพิถันกับดูแลเครื่องมือของตนเอง คงเพราะได้รับการย้ำเตือนอย่างดีว่าทั้งหมดที่จะเข้ามาถ่ายทำคืออาหาร ที่ต้องสะอาดและถูกสุขลักษณ์ พิธีกรหนุ่มวัยรุ่นท่าทางกระตือรือร้นคนหนึ่งเป็นผู้ถือไมค์คอยเข้าไปจ่อปากนักเรียนของโรงเรียนสอนทำขนมที่แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยทำงานและแม่บ้าน แต่สำหรับบางคนที่ไม่ชินกล้องก็พากันยืนอึ้งด้วยความตื่นตะลึง  คีย์เตรียมวัสดุอุปกรณ์ของตัวเองอย่างไม่รีบเร่งนัก  พลางคิดรูปแบบและส่วนผสมของเค้กที่ตั้งใจจะทำไว้ในหัว  วันนี้เป็นเค้กก้อนสุดท้ายที่เขาจะได้ทำที่นี่

เวลาผ่านไปอย่างไม่รีบเร่งนัก   คีย์ยังคงมีสมาธิจดจ่อกับงานของตนเอง   เขาเริ่มการแต่งหน้าเค้กของตัวเองอย่างไม่รีบเร่ง  ความจดจ่อต่อผลงานของตัวเองทำให้ร่างผอมแทบจะไม่สนใจพิธีกรที่ร่อนไมค์ผ่านเขาไปมา   กระทั่งงานทั้งหมดเกือบเสร็จเรียบร้อย จึงเริ่มรู้ตัวว่าหนุ่มน้อยร่างสูงที่มีดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์ กำลังยืนรอเขาพร้อมริมฝีปากที่คลี่กว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบของตนอยู่ไม่ห่าง  ทั้งมีกล้องตัวยักษ์ตามเก็บการเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดด้วย  ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา  ดวงตาของอีกฝ่ายก็ฉายประกายระยิบระยับ   ทำเอาคีย์แอบขำเล็กน้อยกับท่าทางเหมือนสุนัขเชื่อง ๆ นั้น

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมขอสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ไหมครับ”

“อ้อ..ได้ครับ ขอโทษนะครับที่ทำงานเพลินไปหน่อย”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำ   ใบหน้าสดใสเปล่งประกายก้มลงมองเค้กก้อนกลม ๆ ที่คลุมด้วยน้ำตาลฟอนแดนท์ขาวเนียน ข้างบนตกแต่งด้วยหมีที่วาดยิ้มแฉ่งในชุดเชฟ และกางร่มสีฟ้าอยู่ตรงกึ่งกลาง

“น่ารักจริง ๆ ครับ คุณเป็นคนที่น่ารักจริง ๆ นะเนี่ย เค้กน่ารักขนาดนี้เนี่ย”  เด็กหนุ่มชมเปาะ  พลางกวักมือเรียกกล้องให้ถ่ายอย่างละเอียด

คีย์หัวเราะขำผลงานตัวเอง

“ตอนคิดว่าจะทำก็ขำดีเหมือนกัน น่ารักจนน่าขนลุก ”

“อ้าว.. อย่างนี้แสดงว่าตั้งใจทำไปให้คนน่ารัก ๆ ใช่ไหมล่ะครับ”  พิธีกรหน้าใสรีบถามต่ออย่างคล่องแคล่ว   หากทำให้คีย์อึ้งไปเล็กน้อย  ก่อนพยักหน้ารับในที่สุด

“เค้าชอบทำอะไรน่ารัก ๆ แบบนี้เสมอน่ะครับ…   ผมก็เลยอยากลองทำให้เค้าบ้าง”

“นี่เค้กวันเกิดเหรอครับ?  23 กันยา… พรุ่งนี้แล้วนะเนี่ย  สุขสันต์วันเกิดเจ้าของเค้กด้วยนะครับ”

“ขอบคุณครับ” คีย์ไม่ปฏิเสธ  และกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

23 กันยา… วันเกิด

“แต่นี่… เป็นเค้กวันครบรอบน่ะครับ”

            ดื้อเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในวันที่ 23 กันยาของเราเลยนะ

“เค้กครบรอบ?”

“ครบรอบ ครบรอบวันที่คบกัน…  ปีที่สี่ครับ”

เจ้าของไมค์ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น  เด็กหนุ่มมีทีท่าว่าจะถามต่อ  ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อคีย์เอ่ยอีกประโยคขึ้นมา

            “หมายถึง…ถ้าผมกับเค้า…คบกันมาจนถึงวันนี้นะครับ”

 

…..

            ช่วงนี้พายุเข้าอีกแล้ว…  ร่มสีฟ้าของเรามันหักเพิ่มอีกหนึ่งซี่แล้วล่ะ

            แต่ไม่เป็นไร ยังไงมันก็ยังใช้ได้อยู่เหมือนเดิม  

            เมื่อไหร่ที่หมีอยากชิมเค้กฝีมือฉันก็กลับมานะ

            กุญแจห้องของเรายังไม่เคยเปลี่ยน ถ้าหมีกลับมา…คงจะตกใจแน่ ๆ

            ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะ… ทุกสิ่งทุกอย่างยังรอเจ้าของมันกลับมาเหมือนเดิม

                                                                                    ยังไงก็รอหมีนะ.

           
หนึ่งปีแล้วนะหมี…กลับมาได้แล้ว   ฉันยังรออยู่ที่เดิม  ไม่เคยไปไหนเลย

หมีล่ะ…ยังเหมือนเดิมอยู่ไหม   บอกสักคำสิ   คำเดียวก็ได้

     ยังรักกันอยู่หรือเปล่า

โปรดอภัยให้ฉันที ที่เผลอไปจนเธอเสียใจ

โปรดอภัยให้ฉันที

ที่เผลอทำให้เธอจากไป

 

 

 

เซงงิลชุกฮา ฮัมนิดา…

คีย์หัวเราะเบาเมื่อได้ยินเสียงเพราะ ๆ ของเพื่อนดังมาตามสัญญาณโทรศัพท์   เขาออกจากโรงเรียนสอนทำขนมค่อนข้างดึก เนื่องจากมีปาร์ตี้เลี้ยงปิดคอร์ส   คีย์จึงพยายามมองทางม้าลายตรงหน้าอย่างตั้งใจ เพื่อรอสัญญาณข้ามถนน  ฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายหากเป็นหยาดฝนที่ไม่ได้สาดกระหน่ำจนทำให้เขาเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบากนัก  ร่มสีฟ้าคันเก่าที่โครงหักไปแล้วสองซี่จึงยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี

“สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าสองชั่วโมงนะมึง”

“รีบอะไรนักหนาวะ  ยังไม่เที่ยงคืนเลย”  แม้จะรู้สึกขอบคุณกับความใส่ใจของเพื่อน แต่คีย์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดจิกกัดจงฮยอนไปบ้างตามที่เคยชิน

“อ้าว…ไม่ได้ล่ะ กูอยากสุขสันต์วันเกิดมึงเป็นคนแรกบ้าง”  เสียงทุ้มนุ่มลอยตามเสียงมาอย่างอารมณ์ดี

“คนไหน ๆ ก็เหมือนกันแหละ กูรู้ว่ามึงรักกู  บอกตอนไหนมึงก็ยังรักกูอยู่ดี”

“โหย…มึงนี่มัน    ขนลุกว่ะ”

“ขอบคุณนะมึง…  ถ้าไม่มึงอยู่ด้วยกูคงแย่  เดี๋ยวว่าง ๆ กูจะเอาเค้กไปฝาก”

“แล้วคืนนี้มึงจะฉลองยังไง  ฉลองกับเค้กที่ทำวันนี้น่ะเหรอ”

“เออ..  ” คีย์ตอบรับพร้อมทั้งพยายามก้าวขาเร็วหลังจากสัญญาณไฟเขียวสำหรับคนข้ามถนนแสดงขึ้น แต่ทันทีที่เขาข้ามาถึงอีกฝั่ง คีย์จึงฉุกคิดขึ้นมา “ว่าแต่มึงรู้ได้ไงวะว่าวันนี้กูทำเค้ก”

จงฮยอนหัวเราะดังลั่นจนคีย์หน้าเบ้

“กูก็เดาน่ะสิ ช่วงนี้กูเห็นมึงวุ่น ๆ อยู่กับโรงเรียนสอนทำขนมนี่นา  วิญญาณมินโฮมันเข้าสิงเหรอไง  ไอ้บ้านั่นงุ่นง่านตลอดเวลาเลยตอนอยู่ญี่ปุ่นเพราะหาที่ทำขนมไม่ได้”

คีย์ชะงักเล็กน้อยกับคำบอกเล่านั้น   เพราะตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมมาจงฮยอนเป็นคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวของมินโฮและสามารถเล่าให้เขาฟังได้ แต่คำบอกเล่านั้นก็กระตุกหัวใจเขาไม่น้อยเลย

“ก็บอกให้กลับมาสิ… ”  คีย์พูดยิ้ม ๆ และถอนหายใจเบา

“มึงร้องไห้อยู่ปะเนี่ย” 

“ไอ้บ้า กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

“เออ ดีแล้ว เดี๋ยวว่าง ๆ ขอกูเลี้ยงเจ้าของวันเกิดหน่อยนะ หาเวลามาให้กูด้วยล่ะ จะเข้าเมืองไปหา”

คีย์พยักหน้ารับ จงฮยอนไปฝึกงานที่ต่างจังหวัดหลายเดือนแล้ว  เจ้าหมอนั่นดูมีความสุขและยุ่งกับงานของตัวเองไม่น้อยจนแทบไม่ได้กลับเข้ามาในโซล  กว่าจะว่างก็คงอีกพักใหญ่

“เออ….  แล้วของขวัญล่ะ เอาเดี๋ยวนี้เลย  อวยพรอย่างเดียวไม่ได้โว้ย”  คีย์แกล้งทวง

“โอม…เพี้ยง  เสกไปแล้ว ไปรับเอาที่ห้องแล้วกัน”

“ไอ้บ้า อยู่บ้านนอกไปเหอะ”

“แล้วนี่มึงมีแฟนใหม่ฉลองวันเกิดยัง”

คำถามนั้นทำให้คีย์ชาไปทั้งตัว ก่อนพยายามก้าวขึ้นห้องไปพร้อมกับกลืนก้อนขม ๆ ในคอลงไปอย่างยากลำบาก   จงฮยอนน่าจะเป็นคนเดียวที่กล้าถามประโยคนี้กับเขา  ต่อให้รับรู้มาตลอดก็ตามทีว่าเขายังไม่เคยลืม

คีย์ไม่ตอบอะไร… ด้วยหวังว่าจงฮยอนจะเข้าใจความหมายที่อยู่ในความเงียบนั้น

นับตั้งแต่วันที่ถูกปฏิเสธ   มินโฮไม่กลับมาที่ห้องอีกเลย  ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าบางส่วนได้รับการไหว้วานให้จงฮยอนมาช่วยขนย้าย    การอยู่ด้วยกันมานานทำให้ยากจะแบ่งแยกได้ว่าของแต่ละชิ้นในห้องนั้นใครเป็นผู้ครอบครอง  และมินโฮเองก็ไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดนอกจากของใช้ส่วนตัว  ทุกอย่างในห้องที่เคยเป็นของคนสองคน ก็ยังคงวางมันอยู่อย่างนั้น  รอวันให้ผู้เป็นเจ้าของร่วมกลับมาใช้งานมันอีกครั้ง การจากไปของมินโฮไม่ต่างจากการไปพักค้างคืนต่างจังหวัด ที่ขนไปแค่กระเป๋าเสื้อผ้าและหนังสือเรียน  คล้ายว่าไม่กี่วันก็คงกลับมา

แม้ว่าความจริงแล้ว  เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม

“คีย์.. มึงยังรอมินโฮมันอยู่ใช่ไหม”

คีย์ไม่แน่ใจว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้ยินคำถามนี้มากี่ครั้งแล้ว   ทั้งยังไม่แน่ใจนักว่าพยายามแค่ไหนที่จะสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ทุกช่องว่างในหัวใจ

“อือ… ”

แม้ว่าคีย์จะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าโอกาสนั้นจะกลับมาอีกครั้งหรือเปล่า

การเรียนอยู่ในคณะเดียวกันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลยแม้แต่น้อย  ยิ่งเรียนในชั้นปีที่สูงขึ้นเท่าไหร่ วิชาเอกและวิชาโทที่เขาลงนั้นก็ทำให้ตารางชีวิตของเขายุ่งยากมากขึ้น    แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด   เป็นเพียงเหตุผลที่คีย์พยายามคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อให้สบายใจเท่านั้น

คีย์รู้ดีว่าแท้ที่จริงแล้วมินโฮจงใจที่จะหลบหน้าเขา   และสิ่งที่ตอกย้ำความคิดนั้นได้ดีที่สุด ก็คือการพบชื่อของมินโฮติดอยู่ที่บอร์ดหน้าคณะ จากโครงการทุนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ

หนึ่งเดือนหลังจากเลิกกัน  มินโฮบินไปญี่ปุ่นในฐานะนักศึกษาทุนแลกเปลี่ยนโดยที่คีย์ไม่มีโอกาสรู้แม้กระทั่งไฟลท์บิน

จงฮยอนขอโทษเขาเสมอกับเหตุการณ์นี้   แต่เขาไม่โทษเพื่อน เพราะคนที่ผิดก็คือเขา

เมื่อสูญเสียคนรัก แต่เพื่อนแท้ของเขายังอยู่   จงฮยอนเป็นเพื่อนที่พร้อมจะดุด่าว่าเขาทันทีที่ทำผิด และช่วยทำให้เขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาทั้งคู่    เกิดอะไรขึ้นกับความรักที่สวนทางกันของคนทั้งสอง

แม้มันจะสายไป  แต่คีย์ก็เข้าใจได้มากขึ้น โดยเฉพาะความจริงที่ว่า  มินโฮรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาโกหก   คีย์ในสายตามินโฮคงไม่ต่างจากเด็กเลี้ยงแกะที่โกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่มีใครยอมเชื่อใจอีกแล้ว

ในวันที่เด็กเลี้ยงแกะคนนี้พยายามพูดความจริงเป็นครั้งแรก   ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

ผ่านไปนานแล้ว หลังจากวันที่พายุฝนกระหน่ำลงมาในชีวิตเขา  หากมรสุมครั้งนั้นกลับทิ้งร่องรอยแผลเป็นและซากปรักหักพังของความทรงจำไว้ให้เขาจัดการมากเหลือเกิน  มากเสียจนคีย์เองก็คิดไม่ออกว่าจะซ่อมแซมมันเช่นไร

‘ไปหามันไหม  เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน’

เพื่อนสนิทยื่นข้อเสนอให้เขาหลายครั้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  จงฮยอนเป็นเพื่อนคนเดียวที่บอกเขาได้ว่ามินโฮอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร และสบายดีไหม เป็นคนเดียวที่พยายามช่วยให้คีย์ได้แก้ไขทุกอย่างด้วยกันไปที่ญี่ปุ่น   ทว่า…คีย์กลับปฏิเสธมัน

เกาหลี – ญี่ปุ่น ไม่ได้ไกลกันเลยสักนิด    ความห่างไกลนั้น… เทียบไม่ได้กับหัวใจที่ห่างออกไปของอีกคน  ต่อให้คีย์พยายามวิ่งตามไปเท่าไหร่  แต่หากหัวใจมินโฮบินจากเขาไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเรียกร้อง

มินโฮจะกลับมาไหม… เขาไม่รู้    เรื่องของเขาและมินโฮจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกหรือเปล่า…  เขาเองก็ไม่แน่ใจ

ยิ่งถามว่า  จะรักมินโฮต่อไปอีกนานเท่าไหร่  คีย์ก็ยิ่งตอบไม่ได้

คีย์ไม่กล้าตอบคำถามใด ๆ ด้วยหวังว่าเวลาจะเป็นคนช่วยตอบคำถามนั้นได้

หวังว่าเวลา  จะช่วยพิสูจน์ความรักที่เขามีให้มินโฮได้เห็น

หากมินโฮยังไม่เปลี่ยนไป   หากความรักที่มีให้เขายังไม่ลดลงจนเหลือศูนย์คีย์ก็ยังมีความหวัง   เมื่อมินโฮหันหลังกลับมาและพบว่าเขายืนรออยู่ตรงนี้

ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

 “มึงจะรออีกนานแค่ไหนวะ”

 

หากกลับไปวันที่เคย  มีกัน

ทั้งฉันและเธอส่งยิ้มมา จากหัวใจ

อยากย้อนเวลาไป … ย้อนไป

ให้หันมา

 

คีย์ไขกุญแจดอกเดิมที่เคยไข แม้ลูกบิดจะฝืดจนสมควรที่จะเปลี่ยน   แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องที่เคยเป็นของเขาสองคน   ห้องที่บรรจุความทรงจำและรอยน้ำตาเอาไว้มากมายจนเปี่ยมล้น  คีย์ก็ยอมรับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงนั้น

คีย์หวังว่ากุญแจดอกนั้นจะยังคงอยู่    แม้มินโฮจะพยายามส่งมันคืนให้เขามากเท่าไหร่ก็ตาม

หวังว่าสักวัน   มินโฮจะเป็นคนไขกุญแจกลับเข้ามาหาเขาอีกครั้ง

“… ก็ …จนกว่าจะรู้สึกว่า ต่อให้ทำยังไง มินโฮก็คงไม่กลับมารักกูแล้วล่ะมั้ง”

ถึงเวลานั้น…คีย์จะเป็นฝ่ายล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา   ไม่ให้หัวใจของมินโฮโบยบินไปไหนอีกเลย

 

เจ็บที่มองเธอเดินไปกลับหลังไป  … เจ็บเหลือเกิน

“อ้าว…”

คีย์หัวเสียเล็กน้อยเมื่อพยายามเปิดสวิตช์ไฟหลายครั้ง   แต่ไฟในห้องก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสว่าง   ร่างผอมบางกวาดตามองรอบ ๆ ห้องด้วยความสงสัย แล้วจึงเดินไปเปิดตู้เย็นที่ตั้งอยู่บริเวณครัว  แสงไฟที่สว่างวาบขึ้น ทำให้คีย์สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากหลอดไฟที่มีปัญหา  เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนที่ขาเรียวยาวจะก้าวไปเปิดลิ้นชักเพื่อค้นหาเทียนหอมและไฟเช็คกลับมาที่มุมนั่งเล่นหน้าทีวี   คีย์จุดเทียนหอมให้พอมีแสงสว่าง  แล้วจึงเดินเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำ แสงไฟสว่างวาบทำให้เขาค่อนข้างโล่งใจ  อย่างน้อยก็เสียแค่ดวงเดียว

หลังทำธุระส่วนตัว คีย์ล้างมืออย่างไม่รีบเร่งนัก  ห้องที่มีคนอยู่แค่คนเดียว สมควรจะมีเพียงเสียงน้ำไหลผ่านความเงียบเท่านั้น  หากเสียงสนทนาที่ดังแว่วเข้ามาในหูกลับทำให้คีย์รีบปิดน้ำอย่างรวดเร็ว

“ใครน่ะ!”

คีย์ส่งเสียงดัง   ทว่า…ไม่มีคำตอบใด ๆ นอกจากเสียงคุ้นหูที่ทำให้เขาชาวูบไปทั่วทั้งร่าง

            “เค้กครบรอบ?”

            “ครบรอบ ครบรอบวันที่คบกัน…  ปีที่สี่ครับ”

เสียงของเขาเองที่ดังขึ้นมาจากทีวีในห้องรับแขกเรียกให้คีย์ก้าวเท้าเร็วไปยังหน้าโซฟา  ริมฝีปากของเขาสั่นระริก  เพราะมีสิ่งอื่นนอกจากเสียงนั้นดึงดูดเขา  เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีที่เข้าไปในห้องน้ำ  เค้กชิ้นเดียวกับที่เขาเพิ่งได้รับคำชมจากอาจารย์ก็ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางโต๊ะตัวเล็กทั้ง ๆ ที่ตอนแรกถูกห่อมิดชิดอยู่ในกล่อง  แสงเทียนจากเทียนหอมยังคงสว่างไสว  หากเทียนเล่มเล็กที่ปักอยู่เคียงข้างเจ้าหมีเชฟถือร่มนั้นกลับทำให้เขาสติของเขาแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            “คุณยังรักเขาเหรอครับ”

เสียงสดใสของพิธีกรหนุ่มน้อยดังขึ้นมาจากหน้าจอโทรทัศน์   ทั้งหมดคือภาพบันทึกจากเมื่อเย็น  คงเป็นกล้องตัวเดียวกับที่ถ่ายเขาตั้งแต่ต้น    หัวใจของคีย์สั่นระริกเมื่อมองภาพเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้น

ทำไมเขาไม่รู้เลย… ว่ากล้องตัวใหญ่นั้นไม่หันไปทางอื่นเลย  แม้แต่เด็กหนุ่มที่เป็นพิธีกรคนนั้น

กล้องตัวที่จับจ้องแค่เขา

รอยยิ้มหมองที่วาดอยู่บนริมฝีปากทำให้คีย์เพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา  ใบหน้าของเขามันไร้ความสดใสมากเพียงใด  ดวงตาเศร้า อมทุกข์   ใบหน้าซูบตอบ ผอมโซจนแทบไม่เหมือนคีย์คนเดิม

            “ถ้ามีโอกาส  อยากบอกอะไรกับเขาคนนั้นหรือเปล่าครับ  เผื่อเขาดูรายการนี้ของเรา จะได้รับความรู้สึกของคุณได้”     

            “สิ่งที่อยากบอกเหรอครับ”

            “ครับ… พูดเลยครับ”

            “ผมอยากบอกเค้าว่า  ตอนนี้  ผมอยู่คนเดียวได้แล้ว   หาข้าวเย็นกินเองได้แล้ว  แถมทำกับข้าวได้ตั้งหลายอย่าง  ตอนป่วยผมก็ดูแลตัวเองได้   ผมไปหาหมอคนเดียวได้  ผมไม่ต้องรอ… รอให้มีคนพาไปเหมือนเมื่อก่อน … ผมขับรถเป็นแล้วด้วย   ผม… ไม่หลงทางแล้วด้วย

“ผม เคยหลงทาง….  หมายถึง ผมเคยคิด ว่าสิ่งแรก คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ก็เลยไปหลงไขว่คว้าหาอะไรตั้งมากมาย

ทั้ง ๆ ที่มีเค้าแค่คนเดียว…. แค่คนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด

คีย์ในจอสี่เหลี่ยมนั้นหลุบมองลงบนเค้กของตัวเอง  เพื่อสะกดกลั้นความคิดที่พุ่งพล่านอยู่ในหัว   ริมฝีปากของเขาเม้มสนิทด้วยพยายามข่มความอ่อนแอที่อยู่ในใจ

            “ผมทำทุกอย่างเองได้  ผมรู้ทุกอย่างแล้ว… แต่มีแค่อย่างเดียวที่ผมทำไม่ได้ …  แค่อย่างเดียว

            ทำนบความคิด  พังทลายความสามารถในการควบคุมตัวเองของเขาโดยสิ้นเชิง  ทุกความคิดคำนึงที่ฝังอยู่ในใจพรั่งพรูออกมาคล้ายน้ำป่า  คีย์ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาอยากพูดมันออกไป    แต่อาจเพราะไม่เคยมีใครถามคำถามนี้กับเขา

            อยากบอกอะไร…  ให้อีกคนรู้

            สิ่งที่อยากพูดมาตลอด  แต่ไม่มีโอกาสพูดให้เจ้าตัวฟัง

                เป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา 

                แค่อยากให้รับฟัง…             

ผมแค่อยากพูดกับเค้า  บอกเค้า… บอกทุกอย่าง

ขาดเธอไปฉันเหมือนคน หลงทาง

แสนอ้างว้าง  โง่เขลา

ลมหายใจ อ่อนลง…

และฉันคงเป็นไปอีกนาน …แสนนาน

โปรดบอกทีว่าฉันควร ทำเช่นไร เมื่อไม่มีเธอ

 

“ทำ…ทำไม”

ภายในความมืด  คีย์สะอื้นอยู่ในอกอย่างเงียบ ๆ หน้าจอทีวีดำลงไปพร้อมกับอุ่นไอที่โอบล้อมกาย  อ้อมแขนใหญ่จาก ร่างที่สูงมากกว่า… อุ่นมากกว่า  มีกลิ่นหอมมากกว่าทุกสิ่ง  แผ่นหลังบอบบางถูกกดให้ฝังจมเข้าไปใต้อกกว้าง

“พูดสิ…. บอกมาสิ”

หัวใจของคีย์แทบหยุดเต้น  ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัว  เสียงทุ้มคุ้นหูที่เคยได้ยินแค่ในความฝัน  ความอบอุ่นที่ไม่ได้รับมานานแสนนาน  เรือนผมที่เคล้าเคลียอยู่ข้างหลัง  หรือแม้กระทั่งฝ่ามือที่เลื่อนเข้ามากุมรอบมือทั้งสอง

“สิ่งที่ดื้ออยากพูด  พูดมาสิ…  เรากลับมาฟังแล้ว”

น้ำตาที่พยายามซ่อนไว้ทลายลงมาทันทีที่ได้ยิน    คีย์ปล่อยความอ่อนแอทั้งหมดที่เคยมีให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของทุกอย่างในชีวิตโดยไม่สะกดกลั้นใด ๆ

            “ฉันรักนาย … รัก ..รักมาตลอด”

อ้อมแขนอุ่นสอดรอบเอวคอดแน่นขึ้น  ฝ่ามือหนาสอดประสานมือที่สั่นระริกไว้แน่นขณะรับฟังเสียงหวานที่กำลังพรั่งพรูอออกมาด้วยความอัดอั้น   ซึมซับทุกคำขอโทษที่หลากหลายอารมณ์นั้นอย่างใจเย็น

“อยากให้เชื่อ…   ไม่ได้รักคนนั้นอีกแล้ว ไม่ได้รักใครอีกแล้ว  รักแค่นายคนเดียว   อยากขอโทษ… แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เชื่อ… หมบ้า.. หมีนิสัยไม่ดี  เชื่อฉันสิ  เชื่อฉันซักทีสิ  หมีบ้า.. ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม ทรมานจะตายแล้วรู้ไหม”

ความเจ็บปวด  ทรมาน  อึดอัด… และความหวาดกลัวนั้นถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงที่สั่นเครือ

“ฉันกลัว… ว่าจะไม่กลับมาแล้ว   แต่ก็ไม่กล้าที่จะไปหา  กลัวว่าจะหนีไปอีก  กลัวว่าจะไล่ฉัน  กลัวว่า…ถ้าเปลี่ยนไปจะทำยังไง   ก็เลยได้แค่รอ  อยากให้กลับมานานแล้ว.. อยากให้เหมือนเดิม”

“ดื้อเอ้ย…  ดื้อเอ้ย”

มินโฮกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก    ความสับสนที่ผ่านมาเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่คนตัวเล็กเผชิญมาตลอดเวลาที่ห่างกันไป     มินโฮวางคางลงบนไหล่ลาด กระซิบเบาใกล้หู  ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เข้มแข็งมากไปกว่ากันเท่าไหร่    ดวงตาของเขาร้อนจนแทบห้ามไม่อยู่

ขนาดห่างไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเป็นปี…  พยายามหลีกลี้หาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้ลืม   พยายามทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้คิดถึง  แต่ก็ยังทำไม่ได้  สุดท้าย…ก็ทนเสียงเรียกร้องในใจตัวเองไม่ได้

มินโฮรู้มาตลอดว่ารักคน ๆ นี้มาก…. แต่ไม่รู้เลยว่ารักมากขนาดนี้  รักมากจนยอมไม่ได้อีกแล้วถ้าต้องสูญเสีย

ต่อจากนี้ไป… ถึงให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว  เขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งคีย์ไปอีกแล้ว

ร่างสูงหมุนคนตัวเล็กให้กลับมาเผชิญหน้า  คีย์ที่ไร้เรี่ยวแรงจนต้องทิ้งตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา   ร่างที่ตรงหน้าเขา  อยู่ในสายตาของเขา     แม้จะมืดสลัว  มีเพียงแสงเทียน และแสงไฟที่ลอดมาจากห้องน้ำเท่านั้น  แต่ทุกรายละเอียดบนใบหน้าของคีย์ยังกระจ่างชัด   ชัดแม้กระทั่งประกายดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคิดถึง  ความโหยหาที่มีให้ไม่แพ้กัน

“ดื้อเหมือนเดิม… ขี้แยเหมือนเดิม บอกแล้วใช่ไหม  ว่าดื้ออยู่คนเดียวไม่ได้หรอก   ถ้าไม่มีเราซักคน… ก็อ่อนแอแบบนี้นี่แหละ”

“รู้อยู่แล้วจะหนีไปทำไม… ทิ้งฉันไปทำไม   รู้ทั้งหมด แต่ก็ไม่กลับมาซักที   ไปอยู่ไหนมา  ไปทำอะไรมาบอกเดี๋ยวนี้เลยนะ” ใบหน้าหวานบิดเบี้ยว  เมื่อส่งเสียงดังต่อว่าเขา  จนมินโฮหนีบปลายจมูกเชิดรั้นนั้นอย่างแกล้ง ๆ  แล้วจึงแสร้งหัวเราะเบา

“ไปนอกใจดื้อมาไง”  มินโฮตอบหน้าตาเฉย    สีหน้าของคีย์เปลี่ยนไปในฉับพลัน  หากดวงตาคู่สวยยังไม่ยอมละไปจากใบหน้าเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว  “ไปหาแฟนใหม่มา  ไปหาคนที่ดีกว่านี้  น่ารักกว่านี้  นิสัยดีกว่านี้…  หาคนที่ใจไม่โลเล แล้วก็ไม่เอาแต่ใจเหมือนดื้อมา”

นิ้วมินโฮจิ้มไปบนหน้าผากมน  ขณะบรรยายถึง ‘แฟนคนใหม่’ ที่เขาพยายามหามาตลอด

“ละ..แล้วเจอไหมล่ะ”

“เยอะแยะเต็มไปหมด  … คนที่ดีกว่าดื้อน่ะ”

“ไอ้หมีบ้า”  คีย์กระแทกเสียงแบบที่มินโฮรู้ดีว่ากำลังอารมณ์ไม่ค่อยดี   แต่ประกายไหวระริกที่อยู่ในดวงตาเรียวสวยนี้  กลับทำให้มินโฮรู้สึกเหมือนกำลังย้อนกลับไปเป็นหมียักษ์ของดื้อตัวน้อยเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว

เป็นคนรักที่ทะเลาะกันทุกเวลา  แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันตั้งแต่หลับตากระทั่งลืมตา  ได้กินข้าวด้วยกัน  จับมือกุมกันแนบอก  ทำทุกอย่างร่วมกัน  หลับตื่นกินนอน…เคียงข้างกัน

“เราพยายามที่จะมีคนอื่น…  พยายามที่จะอยู่คนเดียว  ”

เป็นคนรักที่มีข้อเสียอยู่เต็มไปหมด…  มีเสียงบ่นว่า ดุด่ากันไม่มีหยุด  แต่ขาดกันไปแต่ละครั้ง  ก็คล้ายว่าขาดส่วนหนึ่งของชีวิตไป

“แต่รู้ไหม…ไม่ว่ายังไง เราก็รักใครมากกว่าดื้อไม่ได้ซักที   พยายามแค่ไหนก็ทำไม่ได้”

“หมีบ้า…  ก็อย่าไปมองคนอื่นสิ  กลับมาอยู่กับฉันสิ”

ตอนนี้… เวลานี้

ไม่ว่าใครก็ไม่สำคัญแล้ว

สำคัญแค่นี้….

“ดื้อเอง ก็ห้ามรักใครนอกจากเราล่ะ”

 

คีย์เลือกแล้ว

รักครั้งแรก

แฟนคนแรก

 

คนไหนก็ไม่สำคัญเท่าคนเดียวที่อยู่ตรงนี้

คนเดียวที่รักที่สุด

 

 

 

THE END.


[1] เพลงสายฝนโปรย Lyrics thai version : y_prand
Original song : 비를 내려줘요 (inst.) -Lyn

ฟิคจบแล้วววววววววววววว *จุดพลุปุ้ง ๆ*

ชอบฟิคเรื่องนี้ติดแท็ก #The1stMinkey ในทวิตเตอร์ด้วยน้า

ใครต้องการฟิคลงชื่อจองได้ที่นี่นะคะ

จองฟิค THE FIRST MINKEY

กำลังจะอัพรายละเอียด และวิธีการจองให้น้า

ผู้ที่ลงชื่อจองแล้ว รอรับอีเมล หรือทวิตลองเกอร์ที่บอกรายละเอียได้ค่ะ

*เนื้อเพลงที่ประกอบตอนนี้ ชื่อเพลงสายฝนโปรย  นิ่มแต่งเนื้อร้องภาษาไทยเองค่ะ 😉

ป.ล. รับสมัครนักร้องเสียงใสใจดีมาร้องเพลงประกอบฟิคของเรานะคะ -,.-*

ขอบคุณที่ยังรอหมียักษ์กับดื้ออยู่เสมอ

y_prand

10

The First VIII | MinKey

 Image

ที่ผมร้องไห้  ไม่ใช่เพราะฝนตก

แต่เพราะไม่มีเขาอยู่เคียงข้างอีกต่อไปแล้ว

                กลิ่นสะอาดอนามัยที่ไม่คุ้นเคยทำให้ชายหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด  บรรยากาศหน้าห้องผู้ป่วยเย็นเยียบและเงียบสนิท   จงฮยอนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตนเอง   ก่อนหันไปมองคนที่นั่งห่อไหล่อย่างไร้เรี่ยวแรงที่อยู่ไม่ห่างและส่ายหน้าเบา  ใบหน้าของผู้ชายที่มีเสน่ห์คนหนึ่งกำลังซูบซีดและโรยล้า  ราวกับเจ้าตัวกำลังเป็นฝ่ายป่วยหนักเอง  ไม่ใช่คนที่คงกำลังหลับสนิทเพราะพิษไข้และฤทธิ์ยาในขณะนี้

“เป็นขนาดนี้แล้ว มึงจะเอายังไง” เขาถาม น้ำเสียงอ่อนใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนทั้งคู่นัก  แต่ในฐานะของเพื่อน  จงฮยอนรู้สึกลำบากใจไม่น้อยเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

“มินโฮ ได้ยินไหมวะ”

“ได้ยิน”

คำถามนั้น ทำให้ผู้ที่ต้องตอบหันกลับมา   หนุ่มร่างหนามองแววตานิ่งสนิท และว่างเปล่าของมินโฮที่เป็นยิ่งกว่าคำตอบแล้วถอนหายใจแรง

“กูไม่เข้าใจมึง…. ไม่เข้าใจสักนิด  ทั้ง ๆ ที่มึงก็รักคีย์ แต่ทำไม…”

แววตาสีเข้มหม่นแสงลงไม่น้อย  ความคิดคำนึงที่พุ่งผ่านเข้ามาสร้างแรงกดทับให้อกหนาอึดอัดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ทุกคำพูดของจงฮยอนคล้ายเข็มเล่มเล็ก ๆ ที่ปักลงบนก้อนเนื้อหัวใจ   หากนั่นเป็นแค่ครั้งเดียว มินโฮคงรู้สึกแค่สะกิด ๆ ไม่เจ็บแปลบมากนัก

“แล้วตอนนี้..คีย์ก็รักมึงแล้วไม่ใช่เหรอ”

โชคร้ายที่แผลก่อนหน้านั้น… เป็นแผลฉกรรจ์ที่เหวอะแหวะจนไม่อาจสะกดกลั้นความเจ็บปวดให้หายไปง่าย ๆ

                ‘ฉันรักนาย  ได้ยินไหม ฉันรักนาย’

“คีย์ไม่ได้รักกู” มินโฮปฏิเสธ เขาพยายามฝืนยิ้ม  หากนั่นกลับทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว และยับยู่  “คีย์ก็แค่ขาดกูไม่ได้… ก็แค่  อยู่คนเดียวไม่ได้  ก็เลยใช้คำนั้น… มารั้งกูเอาไว้”

เขารู้ดีว่าความรักของเขาเป็นรักฝ่ายเดียวตลอดมา…  สิ่งที่เขาหวังในทุก ๆ วันที่ตื่นขึ้นมาก็คือ  ให้ความรักของเขา เป็นหนึ่งเดียวกับความรักของคีย์  ความรักที่เกิดมาจากความรู้สึกจริง ๆ   ไม่ใช่เพียงแค่การพูดเพื่อให้เขาสบายใจ

มินโฮรู้จักคนรักของตัวเองดีจนเชื่อว่าคีย์ไม่มีวันโกหก…

                แต่เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดมาตลอด

“มึงโกรธ…ที่คีย์ใช้คำว่ารักเป็นเครื่องมือ งั้นเหรอ?”

“กูไม่ได้ต้องการคำว่ารัก  กูต้องการความรักของคีย์  ต้องการให้คีย์ลืมความรักครั้งแรกบ้า ๆ นั่น…ต้องการให้คีย์มีแค่กูคนเดียว” เสียงของเขาแหบลงทุกที… ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นปิดหน้าที่กำลังเต็มไปด้วยความอ่อนแอ  มินโฮไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าเขาจะเป็นถึงขนาดนี้

เขาเลิกรักคีย์ไม่ได้   แต่หากจะให้กลับไป…   ก็ทรมาน

“ถ้าคีย์รักกูจริง ทำไมไม่พูดก่อนหน้านี้ ทำไมถึงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนั้น…ทำไม…. กล้าพูดว่ารักคน ๆ นั้นมาก่อนกู”

“ไหนมึงบอกกับกูว่าจะลืมเรื่องนั้น  มึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่าจะลืม” น้ำเสียงของจงฮยอนเริ่มขุ่น  เมื่อเจ้าตัวเริ่มกลับไปหมกมุ่นอยู่ที่เรื่องเดิม

บ่อยครั้งความรักก็ทำให้คนงี่เง่าไม่เข้าท่าเอาซะเลย

“แล้วมึงคิดว่ามันลืมง่าย ๆ เหรอ”

“มึงเอง…ก็ยังคิดว่าความรักครั้งแรกมันสำคัญ  ทำไมคีย์มันจะไม่มีสิทธิ์คิดแบบนั้นบ้าง” จงฮยอนฟังแล้วแค่นหัวเราะกับความงี่เง่าของเพื่อนสนิท

“กูก็ไม่รู้หรอกว่าว่ามึงนิยามความรักของมึงไว้ที่ตรงไหน   มึงต้องการอะไรมากมายกับคนที่ทำอะไรไม่เป็นแม้แต่ล้างจานอย่างคีย์…  แต่หลายปีที่ผ่านมากูก็ไม่เห็นมันจะอยู่กับใครนอกจากมึง”

“คีย์อยู่กับกูมันไม่สำคัญเท่า…หัวใจของคีย์อยู่กับใครหรอก”

                ‘คุณ…คือคนที่ทำให้คีย์ร้องไห้วันนั้นงั้นเหรอ’ ชายหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ ถามเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ   มินโฮรับฟังคำถามนั้น และยิ้มบาง

                น่าแปลก ที่การเลือกเข้ามาพบกับอีกฝ่าย ง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับคีย์มากนัก

                “ผมควรจะเป็นคนพูดประโยคนี้มากกว่า…  เมื่อสามปีที่แล้ว คุณเป็นคนที่ทำให้คีย์ร้องไห้ใช่ไหม”

                ซึงฮยอนนิ่งขึงไปในทันที เขาแค่นหัวเราะเล็กน้อยกับคำถามตรงไปตรงมา

                “ตอนนั้น…ผมไม่รู้ ถ้ารู้…คงไม่ทำ”

                “คุณเป็นรักแรกของคีย์…”

                “ผมรู้” เขาตอบง่าย ๆ  ร่องรอยลึกซึ้งในดวงตาทำให้มินโฮเบือนหน้าลงไปมองอเมริกาโน่สีเข้มแทน

‘คีย์เป็นไมเกรน… ป่วยง่าย   ชอบอ้อน..ชอบดื้อ  อยากให้คนดูแลอยู่ใกล้ ๆ ถ้าไม่สนใจ ก็จะงอน…. แล้วก็..  ดูแลตัวเองไม่ค่อยได้ ’

                “คุณต้องการอะไร ” น้ำเสียงของคนที่นั่งตรงข้ามเขาค่อนข้างขุ่น  ดวงตาของอีกฝ่ายฉายแววโกรธ  หากเขายังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้

                “อ้อ… อย่าให้คีย์ดื่มกาแฟนัก  คราวก่อนกลับไปปวดหัวหนักจนแทบไม่ได้นอน”

                “คุณ…”

                “ฝากดูแลคีย์ด้วย … ดูแลคีย์ต่อจากผมด้วย”            

                สิ้นประโยคนั้น  ผู้ที่อาวุโสกว่าทุบโต๊ะเสียงดังลั่น จนพนักงานสาวที่อยู่บริเวณเค้าท์เตอร์ส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ   ซึงฮยอนตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความโกรธจัด

                ‘คุณโง่หรือบ้ากันแน่… ’

                แต่มินโฮยังคงรอยยิ้มไว้ที่มุมปาก… ดวงตาของเขานิ่งเฉย หากแดงจัด  ปากของเขาสั่น พร้อม ๆ กับฟันที่ขบกันแน่น

                “ดู….ดูแลเขาด้วย…. ”

               

“ถึงขั้นนี้แล้ว มึงคิดว่ากูควรยืนอยู่ตรงนั้นอีกเหรอ  ควรอยู่ข้าง ๆ คีย์ต่อไปงั้นเหรอ”

“มึงนี่มันเข้าใจอะไรยากจริง ๆ ว่ะ”

เจ้าของร่างหนาผุดลุกขึ้น  ยิ่งพูดด้วย เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด  ไม่ใช่เพราะเขาเข้าข้างคนป่วย หรืออยากสนับสนุนให้ทั้งคู่กลับไปคบกัน  อันที่จริงไม่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นเช่นไร  มันก็ไม่มีผลอะไรกับความเป็นเพื่อนของเขา

“เดี๋ยวกูไปจัดการเรื่องประกันสุขภาพของคีย์มันก่อน ถ้าลำบากใจมึงกลับไปก่อนก็ได้  กูอยู่เฝ้ามันเอง”   จงฮยอนบอกพร้อมถอนหายใจลึก

อย่างไรเสีย… มินโฮและคีย์ก็ยังเป็นเพื่อนของเขา

“ครั้งนี้กูเข้าข้างคีย์ว่ะ มันพูดผิดตรงไหน…แล้วถ้ามันจะใช้คำว่ารักรั้งมึงจริง ๆ มันผิดตรงไหน”

และเพราะว่าเป็นเช่นนั้น  เขาถึงไม่อยากให้ทั้งสองต้องทรมานแบบนี้

“มึงคิดยังไง กูไม่รู้จริง ๆ  แต่เวลากูรักใคร  กูก็คงขาดเค้าไม่ได้เหมือนกัน”

จงฮยอนเปรย ก่อนก้าวจากไปในเวลาต่อมา  ทิ้งให้เจ้าของปมที่เป็นคนผูกจนยุ่งเหยิงหาทางแก้มันด้วยตัวเอง

แต่ไม่ว่ามินโฮจะเลือกแก้หรือตัดปมนั้นทิ้ง คนใดคนหนึ่งต้องเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ดี

ไม่สิ…  สถานการณ์แบบนี้ น่าจะเจ็บทั้งสองฝ่ายมากกว่า

 

               

มินโฮตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้องผู้ป่วยหลังจากนั่งนิ่งอยู่หน้าห้องครู่ใหญ่   ห้องผู้ป่วยรวมขนาดไม่กว้างขวางนักวางเตียงพยาบาลไว้จำนวนหนึ่ง  แต่มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ใช้บริการ    คนหนึ่งกำลังหลับสนิทอยู่ใต้ผ้าห่ม  ขณะที่อีกคนที่เขาคุ้นเคยและอยู่บนเตียงที่วางในสุดกำลังนั่งไหล่ห่อ  ขาทั้งสองห้อยลงมาไม่ถึงพื้น  ใบหน้าอดโรยและดวงตาที่หลุบมองเพียงพื้นห้องนั้นไม่ทำให้เขาปวดหนึบในอกเท่ากับหยดเลือดที่ค่อยซึมออกมาจากข้อมือเล็ก ที่ถูกเจาะเข็มสำหรับการให้น้ำเกลือไว้ คล้ายเพิ่งถูกกระชากออกจากกันเมื่อไม่นานมานี้

ริมฝีปากของเขาสั่น  พอ ๆ กับร่างที่กำลังพยายามทรงตัวให้ยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง

“หมี…” เสียงอ่อนระโหยทำให้เขารู้สึกโกรธมากกว่าความรู้สึกอื่นใด  ร่างบอบบางในชุดหลวม ๆ ของโรงพยาบาลดูจะอ่อนแอยิ่งกว่าตอนที่ล้มลงด้วยพิษไข้กลางถนนที่เต็มไปด้วยรถรา

ทำไมถึงไม่รู้ว่าบ้างเขาแทบเป็นบ้าไปทุกครั้งที่เห็นคีย์เจ็บ…

“ทำอะไร…    เราถามว่าทำอะไร!!!” มินโฮรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตะโกน   แต่เสียงที่ออกมากลับเบาเสียยิ่งกว่าเบา   เขาก้าวเข้าไปใกล้ร่างเล็ก เพื่อพิจารณาข้อมือที่เป็นแผลเพราะเข็มน้ำเกลือข้างนั้น ก่อนจะก้าวไปหาสัญญาณฉุกเฉินประจำเตียงคนไข้ หากมือเล็กกลับคว้าท่อนแขนของเขาไว้  จนมินโฮไม่อาจเคลื่อนไหว

“ขอโทษ…เราขอโทษ ”

                มินโฮเกือบจะคิดว่าหูฝาดไป  เมื่อคนที่ไม่เคยแม้แต่จะยอมรับว่าตัวเองผิดอย่างคีย์กล้าพูดคำนี้ …   หากทุกอย่างชัดเจนเสียจนเขาพูดไม่ออก  หนุ่มร่างสูงทำอะไรไม่ได้แม้กระทั่งการก้มมองหน้าของคนที่เขารัก

การเห็นดวงตาคู่นั้น ราวกับฉายภาพซ้ำของวันนั้น

วันที่ดวงตาของเขาพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำ…

วันที่สายฝน  พรากความหวังเดียวของเขาไป

“ผมไม่รู้ว่า… ทำให้คุณรู้สึกยังไง  แต่ผมเคยพลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว”

มินโฮไม่ปฏิเสธว่าเขาอิจฉาผู้ชายคนนั้น…

                “ผมรักคีย์…คุณมินโฮ  ผมสาบานว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้ง  ผมจะไม่ปล่อยคีย์ไปอีก”

ผู้ชายคนนั้น… ปาร์ค ซึงฮยอนคนนั้นคือสายฝนของคีย์

สายฝนแรก…ที่คีย์ปรารถนาจะสัมผัสมาตลอด  แต่เขาก็เอาแต่กางร่มขวางกั้นเอาไว้ และพยายามหลอกตัวเองว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคีย์

“ต่อให้หมีคิดว่าฉันโกหกเพื่อรั้งนายไว้ ต่อให้ … เรื่องที่ฉันทำมันร้ายแรงจนหมีให้อภัยไม่ได้  แต่…” คีย์กัดริมฝีปากเพื่อห้ามเสียงสะอื้นของตนเอง…  แม้รู้ว่าโอกาสที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันริบหรี่ แต่ก็ยากที่จะอยู่เฉย

ตอนที่เห็นแผ่นหลังกว้างห่างออกไปเป็นครั้งที่สอง คีย์รู้สึกเหมือนถูกลงโทษ…   ถ้ามินโฮเลือกที่จะดุด่าเขาคงจะดีกว่า

การนิ่งเงียบ และเดินจากไป…มันเจ็บปวดมากกว่ากันนัก

คีย์จำไม่ได้ว่าสติสัมปชัญญะของตัวเองหายไปเมื่อไหร่ สิ่งที่วาบเข้ามาในความคิดตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็คือมินโฮ   ทว่า ผลของการทำเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บกว่าการกระชากเข็มน้ำเกลืออก  เหนื่อยกว่าการพาร่างอันอ่านแรงของตัวเองออกไปถึงหน้าประตูด้วยเป้าหมายที่จะยื้อให้คนรักกลับมาอีกครั้ง  เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็คือการรับฟังสิ่งที่มินโฮคิดมาตลอด

                “คีย์ก็แค่ขาดกูไม่ได้… ก็แค่  อยู่คนเดียวไม่ได้  ก็เลยใช้คำนั้น… มารั้งกูเอาไว้”

                ไม่เคยรู้…. ไม่เคยรู้เลย  ว่า ‘รัก’ ของคีย์ที่เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากนั้น… เป็นแค่เครื่องมือในการฉุดรั้งมินโฮเอาไว้

คีย์ไม่เคยรู้…

                “อย่าไป… “ 

“มันเป็นไปไม่ได้แล้ว… ”

                คีย์พยายามเอ่ยคำร้องขอออกมาอย่างยากลำบาก  แม้จะดูไร้ศักดิ์ศรีแต่เขาไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงเช่นนี้   ทว่าขณะเดียวกันนั้น  เสียงทุ้มของมินโฮก็เอ่ยประโยคที่แสนเบาหวิว….หากหนักหน่วงและคมกริบราวกับมีดคม ๆ แทรกขึ้นมากลบเสียงของเขาจนหมด     

                คนฟังรู้สึกคล้ายร่างกายกำลังหยุดหายใจ  อวัยวะภายในเหมือนกำลังหยุดทำงาน.. คงมีเพียงต่อมน้ำตาเท่านั้นที่ยังทำหน้าที่ระบายสิ่งที่คั่งค้างออกมาอย่างต่อเนื่อง

“เราเคยได้ยินมาว่า…รักแรกมันมักจะไม่สมหวัง ”

คีย์รู้ดีว่ามินโฮรักเขา …

“แต่เราไม่เคยเห็นด้วย… เพราะเราเชื่อว่า  สักวันมันจะสมหวัง”

รู้ว่ามินโฮยอมเป็นฝ่ายรอเขามาตลอด

รู้แม้กระทั่ง… มินโฮยอมที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวดกับการไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเขา

“เราอยู่ด้วยกันทุกวัน เรามองคีย์อยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด  เราเห็นทุกอย่าง เราถึงเข้าใจ…   ว่าคีย์รอมันมานานมากแค่ไหน  รอคน ๆ นั้น… มานานแค่ไหน ”

แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่คีย์ไม่เคยรู้… และไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน  ก็คือวินาทีนี้

วินาทีที่สายตาของมินโฮมองตรงไปข้างหน้า และไม่มีเขาในแววตาคู่นั้นแล้ว

“แต่รักแรกของคีย์… สมหวังแล้วไม่ใช่เหรอ”   มินโฮพยายามยิ้มให้กับใบหน้าของคนที่เขารัก คนที่เป็นรักแรกของเขา    “ดังนั้น…คบกันให้สบายใจเถอะ ต่อให้ไม่มีเรา  คีย์ก็ไม่ลำบากหรอก” แต่ก็ไม่อาจเบือนหน้ามาสบตาของคีย์ได้   มุมปากของเขายกขึ้น… หากมินโฮรู้ว่ามันคงเป็นแค่หน้าที่บิดเบี้ยวยับยู่ที่น่าเกลียดที่สุด

“เรารู้ว่าคีย์ฝืนมาตลอด…   คีย์ใจดี… คงไม่อยากให้เราเสียใจ ” ขณะพูดก้อนขม ๆ ก็พุ่งเข้ามาจุกที่ปลายลิ้น  ขมจนต้องกลืนมันลงไปอย่างยากลำบาก  “มันง่ายกว่า ถ้าเราเป็นฝ่ายไป”

ถึงจะหนักหนา..แต่เขาก็อยากจบมันให้ดีที่สุด

แม้ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม

                กินผักบ้างล่ะ

                อย่าลืมล้างจาน

                อย่าเอาแต่ใจตัวเองนะ

                แล้วก็… มีความสุขกับความรักของคนที่คีย์รักให้มาก ๆ ล่ะ

                “ไม่..” มินโฮพูดเสียงสั่น…   เขาค่อย ๆ แกะนิ้วเรียวที่เกาะอยู่บนแขนออกทีละนิ้ว  ไอร้อนผ่าวของพิษไข้ที่ออกมาจากผิวเนียนละเอียดทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว… “ต้องห่วงเราหรอก… เดี๋ยวเราก็ลืมแล้ว”

                ตั้งแต่คบกันมา  ไม่เคยมีวันไหนที่คีย์ไม่ทำให้เขาห่วง   มินโฮจึงได้แต่ส่งคำร้องขอไปให้กับคนดื้อของเขา

                ต่อจากนี้ไปอย่าเดินตากฝนอีกนะ   เดี๋ยวจะไม่สบาย

ถ้าฝนตก อย่าลืมกางร่มนะ

“ถ้า…. ฉันไม่ได้รักพี่ซึงฮยอนแล้ว… นายจะกลับมาหาฉันไหม”  เสียงสั่นเครือ ลมหายใจที่ขาดห้วง การพูดที่ไม่เป็นจังหวะเพราะแรงสะอื้น  คล้ายค้อนปอนด์หนัก ๆ ที่ทุบกระหน่ำลงมาบนอกเขา

“คีย์ก็รู้ไม่ใช่เหรอ”

ถ้าฝนตก…   ถ้าฝนตกลงมา

                “ว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

                กางร่มแล้ว…..คิดถึงเราบ้างก็ได้นะ 

ถึงไม่มีร่มสีฟ้าแล้ว

                แต่คิดถึงเราสักนิดก็ยังดี

ใต้ฟ้าที่ฝนตกกระหน่ำ   คีย์เฝ้าตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตนเอง

รักครั้งแรก หรือแฟนคนแรก

                เฝ้าเดินหาหนทางของคำตอบจนลืมไป

กว่าจะรู้ ทุกอย่างก็หลุดลอยไปแล้ว

สิ่งที่คีย์ต้องการในตอนนี้ก็คือ…

                คนที่รักที่สุดเพียงคนเดียวเท่านั้น

                “คีย์ก็รู้ไม่ใช่เหรอ  ว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

 

 

สายฝน…ร่วงเลอะเปรอะดวงตา

ร่มสีฟ้า…อ่อนล้าเกินกล้าแกร่ง

หัวใจ…ดวงน้อยค่อยหมดแรง

ความรัก…มิอาจแบ่งเป็นสองทาง

                ไม่มีวัน…เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

TBC.

เหลือตอนจบนะคะ จะปั่นลงให้ได้เร็ว ๆนี้…

ส่วนเรื่องรวมเล่ม รออีกนิดนะคะ ใกล้ว่างแล้วจ้า TToTT ขอโทษที่ให้รอนะคะ

8

The First VII

                

 Image

สายฝนทำให้ผมมองอะไรไม่เห็น….. แม้กระทั่งความรักของเรา

 

 

                “คีย์…”   

                ซึงฮยอนถอนริมฝีปากออกมาจากกลีบปากหวานหากเย็นชืด  หนุ่มรุ่นพี่ขมวดคิ้วยุ่ง  เมื่อพบน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มเนียน    ดวงตาที่เอ่อท้นด้วยหยาดน้ำใสมองเขานิ่ง

                สายตาลึกซึ้งนั้น…ราวกับจะเป็นฝ่ายขอโทษ      

                “พี่เป็นรักครั้งแรกของผม… เป็นคนที่ผมคิดถึงมาตลอด”  เสียงหวานสารภาพแผ่วหวิว…  ด้วยประโยคที่ควรจะทำให้เขาใจเต้นแรงด้วยความสมหวัง

                หลายปีก่อน… ตอนที่พบเด็กชายหน้าหวานที่โรงเรียน   เขาก็สะดุดตาตั้งแต่แรกแล้ว  อะไรหลาย ๆ อย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาเรียวสวย สดใสนั้นทำให้เขาสนใจ  หากด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แม้ว่าคีย์จะแสดงออกชัดเจนว่าชอบเขาอยู่ไม่น้อย   แต่คนอย่างเขาเป็นที่รู้จักของคนแทบจะทั้งโรงเรียน…  เป็นนักเรียนตัวอย่าง   การจะให้เขาเปลี่ยนรสนิยมไปคบกับเด็กหนุ่มร่างเล็กหน้าหวานคนนี้ก็คงไม่พ้นถูกคนอื่นพูดถึงในแง่ไม่ดีนัก   ซึงฮยอนจึงตัดสินใจยุติความหวังของเด็กชายคนหนึ่ง ด้วยการตอบรับคำสารภาพของสาวสวยที่หนุ่ม ๆ หลายคนในโรงเรียนหมายปอง

                กว่าจะรู้…ว่าเป็นฝ่ายทำร้ายคนหนึ่งไปโดยไม่รู้ตัว  ก็ตอนที่จบจากไฮสคูลนั้นมาหลายปีแล้ว

                เมื่อเขาพบคีย์อีกครั้ง… ซึงฮยอนจึงไม่ยอมเสียโอกาสนั้นอีกต่อไป

                “คีย์อยากบอกอะไรพี่…”

แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว   

                “ผมขอโทษครับ…”  เจ้าของร่างเล็กสะอื้นเบา  แผ่นอกเรียบสะท้อนขึ้นลงไม่เป็นจังหวะนัก ขณะที่มือทั้งสองกอดร่มสีฟ้าไว้แน่น   “แต่ตอนนี้…คีย์มีคนรักอยู่แล้ว”

                “คีย์….”   

                “แล้วเค้า…เค้าก็กำลังรอผมอยู่…”

รอให้คีย์กลับไปหา…  รอกอดคีย์ไว้ในอ้อมแขน

            ยังคงรอคอยเสมอ…แม้ว่าเขาจะทำตัวเลวร้ายมากแค่ไหนก็ตามที

                ดวงตาของคีย์หลุบลงมองร่มในมือ   ร่มสีฟ้าที่มินโฮชอบ และมอบให้เขาสำหรับวันที่เขาต้องเดินไปไหนมาไหนคนเดียว  มันแข็งแรง คงทน…และปกป้องเขาจากสายฝนเสมอมา   มีแต่คีย์ที่มักจะละทิ้งมันไปวิ่งเล่นกลางสายฝนอยู่เสมอ

                ไม่รู้เสียเลยว่า…อะไรที่สำคัญ และมีค่ากับตัวเองมากกว่า

                กว่าจะรู้… ก็ตอนที่เกือบสูญเสียมันไป

                “เค้ารอผมมานานมากแล้ว” 

                “ รักเค้าเหรอ…”  เสียงของซึงฮยอนแหบพร่า   ชายหนุ่มร่างใหญ่เคลื่อนตัวไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยตามเดิมด้วยความผิดหวัง 

                “ไม่รู้เหมือนกันครับ…” คีย์ตอบ  สารภาพตามตรง  “ผมไม่รู้…ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร”

                คีย์ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกกับคนที่หลับและตื่นขึ้นมาพร้อม ๆ กันทุกวันมานานขนาดนี้ว่าอะไร….  ความรู้สึกที่คุ้นชินกับร่างสูงและไออุ่นของอีกฝ่ายจนไม่อาจหลับลงได้ถ้าไม่มีอ้อมกอดนั้นมันเรียกว่าความรักหรือเปล่า

                อาจเป็นเพียงความคุ้นเคย….  อาจเป็นแค่นั้น

            “แต่… เค้าเป็นคนที่ผมอยากอยู่ด้วยมากที่สุด  อยากจะอยู่กับเค้าทุกวัน”

            “แล้วพี่ล่ะ”

                “พี่เป็นความทรงจำของผม…  ผมจะเก็บไว้ในนั้น  แล้วจะไม่เอามาทำร้ายคนที่… คนที่รักผมอีก”  น้ำเสียงของคีย์หนักแน่นเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้  แม้ว่าดวงตานั้นจะฉายแววแห่งความเสียใจ  หากความมุ่งมั่นที่อยู่ภายในลูกแก้วสีน้ำตาลใสนั้นกลับทำให้เขาอยากยอมแพ้

                “ยังไง… ก็เป็นพี่ไม่ได้เหรอ”

                “ขอโทษครับ… ขอโทษจริง ๆ ”

                ซึงฮยอนเหลือบมองร่างเล็กที่นั่งขดอยู่บนเบาะข้าง พร้อมถอนหายใจแรง  

                บ้าชะมัด…ทำไมเขาถึงไม่สังเกตมาก่อนนะ

            แหวนที่นิ้วนางซ้ายนั่น….  สวมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

                “อย่างนี้…พี่ก็น่าสงสารแย่น่ะสิ”

            รักครั้งแรก   ….คนที่ไม่มีวันลืม

            แต่ก็ไม่มีวันกลับไปรักได้อีกแล้วเช่นเดียวกัน

                “สายไปเหรอ… บ้าชะมัด”

 

 

 

                ชายหนุ่มยืนมองภาพที่เกิดขึ้นนิ่ง…นาน     ร่มคันใหญ่ในมือช่วงปกป้องเขาจากสายฝนได้อย่างดี  ในขณะที่คนที่เขามองอยู่ กลับทิ้งร่มให้ปลิวไปตามสายลม และเกาะกอดตัวเองคร่ำครวญอยู่เพียงลำพังบนบาทวิถีราวกับคนบ้า

                ซึงฮยอนไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ก็จริง  สายฝนรุนแรง กราดเกรี้ยวจากเบื้องบนทำให้เขาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ   ชายหนุ่มก้าวยาวพร้อมร่มในมือไปหาคนที่กำลังสะอื้นไห้ปานขาดใจนั้น

                บางที… สวรรค์ก็เล่นตลกกับชีวิตคนเราเหลือเกิน

            “ผมไม่รู้เหมือนกันว่ารักคืออะไร…  ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ารักเค้าเหมือนที่เคยรักพี่หรือเปล่า”

                “แต่ถ้าไม่มีเขา…  ผมก็คิดไม่ออก ว่าชีวิตผมจะเป็นยังไง”

 

 

                ฟ้าครึ้ม ๆ ข้างบนคงอยากลงโทษพวกเขา

                หรือไม่…ก็คงอยากประทานความยุติธรรมให้กับทุกคน

            คีย์ที่ปฏิเสธเขาแน่นหนักขนาดนั้น   กลับถูกคนที่คีย์เลือกปฏิเสธเช่นกัน

           

 

                “คีย์… เดี๋ยวไม่สบายนะ”

                ซึงฮยอนพร้อมร่มทรุดตัวลงเคียงข้างร่างบอบบาง ที่กำลังทำเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสายฝน  เสื้อผ้าชุ่มโชกไปทั้งตัว  ร่างกายสั่นระริกจนชายหนุ่มต้องถอดเสื้อนอกของตัวเองคลุมคนตัวเล็กไว้ พร้อมเขย่าตัวแรง ๆ เพื่อเรียกสติ 

                “คีย์… ลุก! พี่จะพาไปส่งที่ห้อง”

                ใบหน้าซีดเผือดที่หันกลับมาช้า ๆ ทำให้ซึงฮยอนตกใจ  ดวงตาเรียวสวยสดใสที่ทำให้เขาหลงรัก บัดนี้เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ทรมาน… ไม่เหลือความสุขหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

                หนุ่มรุ่นพี่อดคิดไม่ได้ว่า…  คีย์อาจจะได้คำตอบของคำถามนั้นแล้ว

                “พี่ซึงฮยอน   ช่วย… ช่วย..ผมด้วย”

             “ รักเค้าเหรอ…” 

                “เขาไม่เชื่อผมแล้ว… ช่วยบอกเค้าที”

                มือเล็กปะป่าย…  เสียงสะอื้นแทรกผ่านเสียงพายุฝนอันกราดเกรี้ยว

                “ช่วยผมที ฮึก… บอกเค้าที”

                ทว่ามันคง….

                ช้าไป…

            “บอกเค้าว่าผมรักเค้า… .ผมรักเค้า…  ”

การตัดสินใจครั้งนี้ มันสายไปแล้วสำหรับทุกคน

 

 

 

 

                ร่างเล็กบางก้าวเท้าอย่างไม่เป็นจังหวะนัก ขณะเดินตามทางเชื่อมเพื่อไปยังห้องของตัวเอง  หัวของเขาหนักอึ้ง  ร่างกายร้อนระอุจนเหมือนถูกสุมด้วยไฟ    แม้แต่เท้า…ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างใจคิด

                พายุข้างนอกสงบลงแล้ว   คีย์จึงสามารถถือวิสาสะหนีกลับมาจากคอนโดของชายหนุ่มอีกคนได้    ซึงฮยอนดีกับเขาจนรู้สึกละอายใจ   หนุ่มรุ่นพี่ช่วยพาเขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และดูแลทั้งคืนจนกระทั่งไข้เริ่มลดลง    เขารู้ดีว่าไม่มีสติดีนักตลอดคืนนั้น   แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายปรารถนาดีกับเขามากแค่ไหน

                เท่านี้ก็พอแล้ว….

                คีย์ตัดสินใจทำตามความตั้งใจแรกของตัวเองด้วยการปล่อยความรักครั้งแรกให้จากไป.. และไม่หวนกลับไปคิดถึงมันอีก

                แม้จะรู้ว่า…เขาช้าไปมากก็ตามที

                “มินโฮ….”

                ประตูห้องถูกไขอย่างอ่อนแรง… คีย์พาเท้าทั้งสองที่แทบไม่มีแรงเข้าไปในห้องที่มืดสนิท   ก่อนจะทรุดตัวลงเมื่อไม่อาจทนต่อสภาพความอ่อนแอของร่างกายตัวเองได้   อาการเวียนหัวอย่างหนักทำให้เขาทำได้เพียงปิดประตูลงเท่านั้น

                “หมี…” เสียงอ่อนระโหยแผ่วเบา  ร้องเรียกคนที่เคยอยู่เคียงข้างกันเสมอ  “ฉันกลับมาแล้ว..  ”

                คีย์ไม่สามารถขยับกายไปยังห้องนอน หรือแม้กระทั่งเดินไปสำรวจว่าใครที่เขาเพรียกหาอยู่นั้นอยู่ที่มุมไหนในห้องที่ว่างเปล่า….มืดมิดแห่งนี้

                “ม..หมี… ”

ร่างกายบอบบางสั่นระริกด้วยความหนาวสะท้าน  พิษไข้เกาะกินลุกลามไปทั้งตัว   

ไม่ใช่ครั้งแรกที่คีย์เป็นไข้สูง…     ไม่ใช่ครั้งเดียวที่อาการหนักจนอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

แต่ทุกครั้งเขามีอีกคนอยู่เคียงข้าง…  มีคนที่คอยเอาใจใส่  มีเสียงนุ่ม ๆ คอยปลอบประโลมเมื่อเวียนหัวจนทนไม่ไหว

“อย่างคีย์น่ะ คบใครไม่รอดหรอก”      

“เอาแต่ใจก็เท่านั้น พูดมาก   นัดทีไรก็มาสาย  บอกอะไรเตือนอะไรก็ไม่ได้ ”

            คงเป็นจริงตามที่มินโฮเคยพูดไว้…  คนอย่างเขา   ถ้าไม่มีมินโฮซักคน…จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน

บางที… อาจเพราะว่าเขาอ่อนแอ  และขลาดเขลาเกินกว่าจะอยู่คนเดียว              

“หมี….”  เสียงพร่า  “ไม่ต้องดูแลก็ได้… ไม่ต้อง”

ไม่ต้องทำอะไรก็ได้….  คีย์ไม่ต้องการอะไรเลย

ขอแค่กลับมา…กลับมาอยู่ข้างกัน

สติสัมปชัญญะของคีย์หลุดลอยไปอีกครั้งเพราะพิษไข้…    ทว่า  ความเสียใจที่ปล่อยให้หัวใจเดินทางไปหาเจ้าของช้าไป  กลับเกาะกินอยู่ภายในอก… จนติดตามไปเป็นฝันร้าย

ซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่า  ตลอดค่ำคืนที่โดดเดี่ยว และทรมาน

            “มินโฮ…”

 

 

 

               

                จงฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากเปิดประตูห้องและพบกับความมืดมิด ทั้ง ๆ ที่พระอาทิตย์ตกดินไปเกือบชั่วโมงแล้ว  แต่คนที่เขามั่นใจว่ายังอยู่ในห้องกลับไม่สนใจที่จะเปิดไฟเลยแม้แต่น้อย  หนุ่มร่างเล็กหุบร่มและวางประจำที่  ก่อนกดสวิตช์ไฟด้วยความเคยชิน

                “กะจะไม่รับรู้โลกเลยเหรอมึง นั่งมืด ๆ อยู่ได้”

                หนุ่มนักศึกษาเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นร่างสูงใหญ่นั่งกอดเข่าอยู่ที่ปลายเตียง สีหน้า ท่าทางไม่ต่างจากเมื่อเช้าก่อนที่เขาจะออกไปเรียน   จงฮยอนกวาดตามองโต๊ะกินข้าวที่วางอยู่ไม่ห่างแล้วพบกับความว่างเปล่า ไม่เหลือซากอาหารของเมื่อเช้าจึงค่อยโล่งใจ   เขาโยนอาหารที่เพิ่งซื้อมาลงบนโต๊ะ  และพูดกับเพื่อนสนิทดังลั่น

                “กูนึกว่าจะเฮิร์ทจนไม่ยอมกินข้าวกินปลาซะอีก”  ร่างหนาว่าพลางถอดเสื้อชื้น  ๆ ออก แล้วหาเสื้อตัวใหม่จากตู้เสื้อผ้ามาใส่แทน   เสียงทุ้มจึงเอ่ยต่อเมื่อนึกขึ้นได้  “อาจารย์ถามหามึงใหญ่…  ”

                “อือ….” หน้าเซียวที่ยังคงเค้าความหล่อเหลาไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรกับคำบอกเล่า   กระทั่งประโยคถัดมา

                “วันนี้…คีย์ก็ไม่มาเรียนนะ  แทมินบอกกู  ไม่ได้ส่งใบลาด้วย  ไม่มีใครติดต่อได้เลย”

                แผ่นอกของมินโฮสะท้อนวูบ…   ริมฝีปากสั่นระริกไม่น้อยก่อนหยิบบุหรี่ที่วางอยู่ข้าง ๆ พร้อมไฟเช็คขึ้น  ร่างสูงลุกขึ้นและก้าวฉับ ๆ ไปยังประตูกระจก เพื่อเปิดออกไปยังระเบียง     

                จงฮยอนมองเพื่อนสนิทด้วยความอ่อนใจ   และก้าวตามไปอย่างไม่ลดละ   เขาจ้องดูการเคลื่อนไหวของมินโฮที่เริ่มจุดบุหรี่สูบด้วยหน้าตาเคร่งเครียด   ด้วยตั้งแต่คบกันมาเพิ่งเห็นหมอนี่สูบบุหรี่เป็นครั้งแรก   ยิ่งมองไปยังที่เขี่ยบุหรี่บนพื้นกระเบื้องก็ยิ่งตกใจ    

                “ไหวไหมมึง… ออกไปเที่ยวไหม”

                ควันบุหรี่สีหม่นลอยอ้อยอิ่งตรงหน้าคนทั้งสองเป็นคำตอบสำหรับคำถามนั้น  จงฮยอนพ่นลมหายใจแรง  เมื่อมองไปที่ดวงตาคล้ำดำไร้ความสดใสของมินโฮ    

                “…. คง… อยู่กับคนนั้นล่ะมั้ง ”  เสียงแหบห้วนเอ่ยแผ่ว  คล้ายจะบอกกับปอยฝนบางเบาที่ร่วงลงจากฟ้ามากระทบแก้ม…

                “กูถามพี่ซึงฮยอนแล้ว    เค้าบอกว่าคีย์กลับไปแล้วตั้งแต่เช้า”

                “ก็อยู่ด้วยกันทั้งคืนแล้วนี่…จะห่วงอะไร”

กระแสเสียงนั้นฟังดูประชดประชันก็จริง   หากร่องรอยอ่อนล้า และความปวดร้าวที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคมลึกนั้นทำให้จงฮยอนถอนหายใจอีกครั้ง   

“มึงทำได้เหรอ   เลิกกันแบบนี้”  เขาถามซื่อ  ไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากความห่วงใย   เขาไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของทั้งสองคน   เพราะทั้งสองต่างเป็นเพื่อนของเขาเช่นเดียวกัน  หากนั่นคือทางออกที่ดีที่สุด… เขาก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน

จงฮยอนรู้ดีว่าในฐานะเพื่อน เขาให้ได้เพียงแค่ความห่วงใย

“กูทำไปแล้ว  ตัดสินใจแล้ว ”  เสียงของมินโฮพร่าแหบ และอ่อนแรง

“ มึงไม่เจ็บเหรอไง”

“ไม่ได้ต่างกันนักหรอก” มินโฮตอบเพื่อน  รอยหยันบนริมฝีปากบอกอีกฝ่ายว่าเขาคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้เพียงใด  “เพราะไม่ว่าจะรัก หรือจะเลิก…. คนที่เจ็บก็คือกู   กูคนเดียว”

“มึงแน่ใจเหรอ”  เขาหยั่งเชิง…   หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาในฉับพลัน   หากนั่นกลับไม่ใช่   มินโฮเงียบไปครู่หนึ่ง   บรรยากาศที่อัดอึดเหมือนช่วงเวลาก่อนที่พายุฝนจะถล่มลงมา

จงฮยอนเบือนหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจ  เมื่อพบกับสายน้ำที่หยดไหลลงมาบนแก้มของอีกฝ่าย 

                “กูหวังมาตลอดว่า… ถ้าไม่มีกู  คีย์จะอยู่ไม่ได้”

ฤดูฝน  ทำให้ฝนตกได้ทุกที่

แม้กระทั่งในดวงตา

                “กูเลวไหมล่ะ เสียงทุ้มเอ่ยปนหัวเราะ …ราวขบขันในพฤติกรรมของตัวเอง  แต่คงดีกว่านี้ หากไม่มีเสียงสะอื้นลึกจากในอก  “กูอยากเป็นเจ้าของทุกอย่างของคีย์… แล้วกูก็ได้  กูได้ทุกอย่างที่เป็นของคีย์  เหลือแค่อย่างเดียว…  ทำยังไง  กูก็ทำไม่ได้ซักที”

                แสงไฟทำให้เห็นสายฝนชัดเจนขึ้น   หยาดฝนตกลงมาเป็นสาย  โปรยปรายอย่างสม่ำเสมอลงมาตามแรงโน้มถ่วง  บางหยดถูกสายลมที่แรงกว่าพัดเหนี่ยวไปยังทิศทางอื่น          

                “กูไม่เคยได้มัน   รัก…  กูไม่เคยได้จากคีย์เลย”

“มึงแน่ใจเหรอ…ว่าคีย์ไม่เจ็บ  หรือเจ็บน้อยกว่ามึง”

จงฮยอนหันกลับไปมองเพื่อนอีกครั้งด้วยดวงตานิ่งสงบ    และพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกไป

“มึงมั่นใจเหรอ…ว่าคีย์มันไม่เคยรักมึงเลย”

ทว่ามินโฮไม่ตอบคำถามใด   เพียงยืนนิ่งมองควันบุหรี่ที่กำลังถูกสายฝนกลืนกินอย่างเงียบ ๆ  พลางสูดกลืนกลิ่นรสของความเจ็บปวดเข้าปอดทีละน้อย 

 

 

 

 

 

 

 

                ฝนตกแต่เช้าตรู่เหมือนทุกวัน   ผู้คนขวักไขว่ออกเดินทางไปสู่จุดหมายของตนเอง  บ้างสวมเสื้อกันฝน  บ้างถือร่มในมือเช่นเดียวกับมินโฮ  หนุ่มร่างสูงก้าวเป็นจังหวะสม่ำเสมอเหยียบย่ำน้ำที่ขังเจิ่งบนฟุตบาธพร้อมใบหน้าอันเรียบเฉย   นุ่มนวล  มือหนาอีกข้างกระชับสายสะพายของเป้ใบใหม่หลวม ๆ ก้มมองเพียงน้ำใส ๆ ที่กระเด็นตามจังหวะการก้าวของเขา  โดยไม่ใส่ใจภาพรอบ ๆ ตัวนัก

                เพียงไม่นานเขาก็หยุดที่ทางม้าลายประจำ  ก่อนข้ามไปยังมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่อีกฝั่งถนน   สัญญาณไฟจราจรบอกให้เขาหยุดรอพร้อมกับนักศึกษาหลายคนที่ยืนรอข้ามถนนเช่นกัน    คนที่มาเพียงลำพังต่างจมจ่อมอยู่กับตัวเองเช่นเดียวกับเขา   นอกจากคนที่มากับเพื่อน หรือคนรักเท่านั้นที่ส่งเสียงพูดคุยกัน    

                ทว่า…ร่มสีฟ้าสดใสตัดกับฟ้าสีครึ้มฝนดูสายตาของเขาโดยอัตโนมัติ   มินโฮเงยหน้ามองร่างบอบบางที่ยืนอยู่ห่างไปหลายก้าวด้วยหัวใจที่เต้นแรง  ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัย  เผยเพียงผิวรอบดวงตาที่แดงก่ำ   คีย์ยืนก้มหน้างุด   เสียงไอถี่ และอาการหอบเป็นระยะทำให้เขาเกือบลืมตัวเข้าไปหา

                มือหนากำหมัดแน่นอยู่ข้ามลำตัว  เล็บที่ไม่ได้ตัดมาหลายวันเพราะไม่ได้ใส่ใจ จิกเข้าเนื้อจนรู้สึกเจ็บ   

                ป่วยเหรอ…. อาการเป็นยังไงบ้าง   ไปหาหมอบ้างไหม

            ยาในกล่องที่ห้องใกล้หมดแล้ว…ได้ออกไปซื้อมาเก็บไว้หรือเปล่า  ทำไมถึงไอหนักขนาดนั้น  

            อยู่ยังไง….  กินแค่รามยอน  อาหารสำเร็จรูปเหมือนเดิมหรือเปล่า     

            มีใครดูแลหรือเปล่า

            …… 

            …..

            “มิน…  มินโฮ  ”

                มินโฮลืมสัญญาณไฟเสียสนิท  หนุ่มร่างสูงจมอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่รู้ตัวว่าคนรอบ ๆ กายเดินไปอีกฝั่งเรียบร้อยแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง  ก็เมื่อได้ยินเสียงแหบจัดเรียกชื่อเขา  พร้อมกับร่างผอมที่อยู่ใต้ร่มสีฟ้าสดคันเดิม

                 แต่ร่มคันนั้นกลับมองดูน่าขันระคนสังเวช  เพราะซี่ร่มที่หักไปถึงซี่ โครงร่มจึงดูบิดเบี้ยว ทำให้ผ้าร่มไม่สามารถอยู่ในรูปทรงเดิมได้   เมื่อสายฝนโปรยปรายลงมา จึงอาบไหล่บางข้างหนึ่งเปียกจนชุ่ม  

                น่าขัน…   เขารู้จักคีย์ดีพอที่จะรู้ว่า  เมื่อก่อน…แค่ด้ายหลุดมาสักเส้น   เจ้าตัวก็คงโยนลงถังขยะอย่างไม่ใส่ใจ

                “เป็นไงบ้าง” เป็นคนป่วยที่เอ่ยถามเขาก่อน   ดวงตาแดงก่ำรื้นด้วยหยาดน้ำตา  “ไปอยู่ที่ไหน … สบายดีหรือเปล่า”

                เขาพยายามที่จะขยับริมฝีปากเพื่อพูดอะไรออกไป    แต่สุดท้าย กลับไม่มีเสียงใดหลุดออกมาเลย

                “พูดอะไรบ้างสิ” แม้จะยังคงไอถี่จนแผ่นอกสะท้านขึ้นลงอย่างไม่เป็นจังหวะ   แต่คีย์ยังคงพยายามที่จะสนทนากับเขา   เช่นเดียวกับที่มินโฮกำลังใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้เพื่อเก็บกลั้นความรู้สึกที่กำลังพรั่งพรูออกมา   

                แม้ว่ายากเหลือเกินที่จะลืม… 

แต่การก้าวกลับไปเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด ก็ยากไม่ต่างกัน

                 “พอดีเลย…. ”  ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มบาง     มินโฮรู้ว่าตอนนี้มันคงจะบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด  หากเขาไม่รู้จะทำอะไรมากกว่านั้น    คีย์ถอนสะอื้น  ดวงตาจับจ้องการกระทำของเขา

                มือหนาเอื้อมไปประคองอุ้มมือบอบบาง และร้อนจัดของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างนุ่มเบา  มือที่สั่นระริกพลิกฝ่ามือนุ่มขึ้น  เพื่อวางของที่ทำให้น้ำตาอีกระลอกไหลออกมาอาบแก้ม  หลังจากมือเรียวยาวล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบของบางอย่างออกมา

                “มิ… มินโฮ…”

“เราลืมคืน … คงไม่ได้ใช้มันอีกแล้วล่ะ”

                น้ำตาของคีย์ร่วงลงบนพวงกุญแจและคีย์การ์ดที่วางในมือที่ไร้เรี่ยวแรงนั้น   ความเงียบโรยตัวลงมาครู่ใหญ่  ก่อนที่ของในมือจะร่วงลงสู่พื้น    

                “เกลียดฉันแล้วเหรอ….”  เสียงไอรวมกับเสียงสะอื้นฟังดูแทบขาดใจ    ร่างเล็กหอบจนตัวโยน     

                มินโฮเบือนหน้าขึ้นมาจากคนที่ทำให้เขาไม่อาจเข้มแข็งได้อีก  หัวใจของเขาบีบแน่น  ท้องของเขาปั่นป่วน  เช่นเดียวกับดวงตาที่ผ่าวร้อนจนไม่อาจห้ามสิ่งใดได้อีก   

                “คีย์น่าจะรู้จักเราดี…. “  เจ้าของร่างสูงตอบด้วยเสียงอันอ่อนแรงไม่แพ้กัน  “ถึงเราจะไม่แน่ใจนักก็ตาม”

                เสียงสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามดังลั่น   เตือนผู้เฝ้ารอทุกคนให้ข้ามไปอีกครั้ง  รถทุกคนหยุดรอหลังเส้นทางม้าลาย พร้อมพุ่งทะยานเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนอีกครั้ง  

                “ต้องทำยังไงถึงจะเชื่อ…”  เสียงแหบหวิวลอยมา  “ต้องทำยังไง…มินโฮ ”

หากมินโฮกลับรีบก้าวขายาวไปบนทางม้าลายฉับไว  ละทิ้งหยาดน้ำตาที่ร่วงรินอย่างคนพ่ายแพ้ไว้เบื้องหลัง     ต่อให้ได้ยินเสียงหอบสะอื้นและเสียงย่ำเท้าถี่ที่วิ่งตามมาก็ตาม

                เขาจะอ่อนแออย่างนี้เป็นครั้งสุดท้าย   หลังจากนี้  มินโฮจะกลายเป็นคนใหม่       

                มันจบแล้ว…

                จบแล้วสำหรับทุกอย่าง

            “นี่คุณ…. จะบ้าหรือไง!!! รีบข้ามเร็ว ๆ !!!”

                เสียงตะโกนอย่างหงุดหงิดเบื้องหลังแม้ว่าสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามยังไม่หยุดก็ตาม ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัวหลังจากได้ยินเสียงแตรของรถมากกว่าหนึ่งคันบีบดังลั่นถนน  มินโฮหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่เพิ่งเดินผ่านมาด้วยความตกใจ

                คีย์ก้าวเท้าช้า ๆ ข้ามถนนมาคล้ายคนที่ไม่มีแรงเหลืออยู่เลย  ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่เขา   ก่อนที่ร่างบอบบางจะยืนหอบหนักหน่วงกลางทางม้าลาย  ทั้งไอ และหอบ  ร่มในมือถูกปล่อยคว้าง ก่อนที่ร่างโอนเอนจะทรุดเข่าลงกับพื้นถนน มินโฮหยุดความคิดใด ๆ และปล่อยให้หัวใจของตัวเองวิ่งนำไปหาคนที่รักสุดหัวใจ  หลังร่างไร้สติล้มลงท่ามกลางสายฝน  และท้องถนนอันคลาคล่ำไปด้วยคนเห็นแก่ตัว

 “คีย์!!!!”

 

 TBC.

 

6

The first VI

สายฝนทำให้ผมหนาว… และทรมานแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แต่จะโทษใครได้  ในเมื่อคนที่ทำให้ร่มคันนั้นหักสะบั้น

ก็คือตัวผมเอง

 Image

 

‘กูเชื่อมึง …

แล้วก็เชื่อว่ามินโฮรักมึงมากพอที่จะทำให้มึงคิดได้

ทำให้ได้ก็แล้วกัน

 

               

 

 

                “คีย์…” กลิ่นกาแฟลอยกรุ่นแตะจมูกราวกับกำลังพยายามเชื้อเชิญให้เขาลุกขึ้นไปสั่งมาเป็นของตัวเองสักแก้ว   หากสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้ คงเป็นไออุ่นเย็นเฉียบจากแหวนที่สอดอยู่ที่นิ้วนาง  และคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับใครบางคน

                ไม่หรอก… ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ทำเพื่อใครเลย

                ทุกอย่าง…เพื่อตัวเขาเอง

                “รอนานหรือยัง”  เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูทำให้เจ้าของร่างบอบางเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง     ใบหน้าสดใสของอีกฝ่ายทำให้เขายิ้มบาง ตอบรับคำทักทายนั้นอย่างง่าย ๆ

 

                “ก็…สักพักแล้วล่ะครับ“

                “พี่ขอโทษ…พี่มาช้าไปหน่อย  คีย์ไม่โกรธพี่ใช่ไหม” ซึงฮยอนเอ่ยก่อนนั่งลงตรงกันข้าม   ดวงตาจับจ้องที่เขาราวกับสำรวจอะไรบางอย่าง   

                ทว่าคำถามนั้นกลับทำให้คีย์รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบให้เต้นแรงกว่าเดิม

            ช้า…  มาช้างั้นหรือ

                รอยยิ้มของคีย์เจื่อนลง  มือที่วางประสานกันอยู่บนโต๊ะกระจกบีบแน่นอย่างลืมตัว ขณะตอบกลับไป 

“ไม่เป็นไรครับ …คีย์ไม่เป็นไร   แค่เจอพี่ก็ดีใจแล้วครับ”

หลังจากเอ่ยประโยคนั้น ความเงียบก็เริ่มคลี่คลายลงปกคลุมรอบกายของทั้งคู่   ซึงฮยอนไม่พูดอะไรนอกจากมองหน้าขาวซีดของคนที่กำลังก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างพิจารณา    

บทสนทนาใด ๆ ที่ชายหนุ่มเตรียมมาล้วนแล้วแต่อันตรธานหายไปอย่างน่าประหลาด  

เหลือเพียงคำถาม  และข้อสงสัย

                “คีย์…”  มือใหญ่เคลื่อนไปยังมือเรียวเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ  โอบประคองนิ้วเรียวสวยที่เย็นเยียบไม่เคยเปลี่ยนพร้อมกับถามขึ้น แม้จะรู้สึกถึงอาการเกร็งของอีกฝ่าย  หากซึงฮยอนกลับไม่ยอมปล่อยมือง่าย ๆ

“โกรธอะไรพี่หรือเปล่า ”

                คีย์สบตาเขาจริงจังเป็นครั้งแรกตั้งแต่พบกันอีกครั้ง   สายตาวูบไหว  และสีหน้าลำบากใจทำให้เขาตัดสินใจเอ่ยประโยคนั้นออกไป   

“ผม… เปล่าครับ ” เสียงหวานปฏิเสธ   ริมฝีปากสั่นระริก….  “ผมไม่ได้โกรธพี่เลย  เพียง… ”

รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นที่มุมปาก  แววตาสดใสของซึงฮยอนเฉิดฉายทันทีที่ได้ยิน   เขาบีบมือเรียวบางพร้อมกับพูดเร็วราวกับกำลังตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสพูดคุยอีกครั้ง          

                “ดีแล้ว ที่ไม่มีอะไร พี่ดีใจนะที่คีย์มาหาพี่อีกครั้ง  พี่มีเรื่องจะคุยกับคีย์เยอะเลย”

                คีย์ขยับมือมาวางบนตักตัวเอง  ก่อนลอบถอนหายใจลึก ยาว

                ลมหายใจคล้ายจะสะดุด 

                รออีกนิดนะ….

            รอด้วยนะ  มินโฮ

               

 

 

 

                23 กันยายน  สามปีที่แล้ว

 

                “นายชอบฉันเหรอ” เสียงใสเอ่ย ระหว่างที่อีกฝ่ายค่อยวางผ้าเช็ดตัวและเช็ดผมที่เปียกโชกของเขาให้อย่างเบามือ   วันนี้พายุฝนพัดเข้ากระหน่ำโซลอย่างบ้าคลั่ง   และเพราะความรีบร้อนตอนเช้าทำให้เขาไม่ได้เอาร่มติดตัวมาจากหอพัก เมื่อเขาออกจากห้องเรียนในตอนเย็นมากแล้ว    คนไร้ร่มอย่างเขาเลยต้องยืนแกร่วรอฝนหยุดจนกระทั่งรอไม่ไหว   เพราะพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว   จึงตัดสินใจวิ่งตากฝนออกนอกอาคารเพื่อกลับที่พัก    ก่อนที่ร่างสูงของใครบางคนจะวิ่งตามและนำร่มมากางกั้นฝนให้เขาพร้อมยิ้มแฉ่ง

                ชเว  มินโฮ… ที่มักพาตัวเองเข้ามาผ่านสายตาของเขาเสมอ 

                เหตุการณ์คืนนั้นเกิดขึ้นเพราะเขาไร้สติ   และอีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรตอนที่หิ้วเขาเข้าม่านรูด

                หากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้… กลับดูเหมือนผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว

                คีย์แน่ใจมาหลายวันแล้วว่ามินโฮกำลังพยายาม ‘จีบ’ เขาอยู่จริง ๆ

                แต่คีย์กลับไม่แน่ใจตัวเองนัก ว่าเหตุใดจึงตอบรับคำชวนของคนตัวสูงที่ให้ขึ้นมาหลบฝนบนห้องพักของตนก่อน   เพราะหอพักของคีย์อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไปหลายสถานี

                “ใช่” เจ้าของใบหน้าคมคายตอบทันใจ เสียงดังฟังชัดและหนักแน่น  จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าหมอนี่จริงจังกับเขาแน่หรือ ถ้าไม่เงยหน้าเห็นหูและจมูกแดง ๆ ของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า              

                “ฉันน่ะ…ไม่ได้รักใครง่าย ๆ หรอกนะ”

                เขาพูดเบา  คล้ายต้องการบอกให้ตนเองรู้เท่านั้น   หากอีกฝ่ายกลับตอบกลับมาอย่างมั่นใจจนเขาหัวเราะลั่น

                “แต่ฉันมีดีพอจะให้นายรักก็แล้วกัน”

                มือของมินโฮเรียว ยาว… และใหญ่กว่าเขาเกือบครึ่ง  หากน้ำหนักที่วางอยู่เหนือผ้าขนหนูที่กำลังซับเอาความเปียกชื้นไปกลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด

                อ่อนโยน… ไม่ต่างจากวันที่เขาถูกสัมผัสเลยแม้แต่น้อย

                “ทำไมถึงชอบฉันล่ะ” คีย์ถามตรง ๆ  เพราะแทบไม่มีอะไรจะเสีย….  ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมินโฮก้าวหน้ามาไกลขนาดนั้นแล้ว  มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีก 

น่าจะเป็นอย่างนั้น….

                “ไม่รู้สิ…” ใบหน้าคร้ามแดดคลี่ยิ้ม   “แต่ตอนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอคีย์ …ก็คิดว่าจะไม่เจออีกเลย”

                “แล้ว?…”  คีย์เอียงหน้ารอคำตอบ  คราวนี้  อีกฝ่ายกลับปล่อยมือจากผ้าเช็ดตัว  และเอื้อมมือดึงเก้าอี้มานั่งบ้าง   ดวงตาสีนิลสนิททอประกายระยิบระยับท่ามกลางแสงไฟ  สว่างไสวจนเขาแทบอยากเบือนหน้าหนี 

                “พอได้เจออีกครั้ง  ก็เลยคิดว่า… จะไม่ปล่อยมือไปอีกแล้ว” ร่างบอบบางตัวแข็งทื่อ  เมื่ออยู่ ๆ คนที่พูดอยู่คว้ามือไปกุมไว้อย่างรวดเร็ว  และบีบแน่นจนเขาชักกลับไม่ทัน  แถมยังถามกลับด้วยหน้าตากรุ้มกริ่มจนเขาอยากจะแยกเขี้ยวใส่

 “เหตุผลแค่นี้พอหรือเปล่า”

                “พอมั้ง”  คีย์สะบัดเสียง    หากอีกฝ่ายกลับยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม

                “คีย์ต่างหากทำไม ตอนนั้นนายถึงมาขอให้ฉัน…เอ่อ” น้ำเสียงหนักแน่นเหมือนที่ผ่านมาคล้ายจะเบาลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้   แต่คีย์ก็พอเข้าใจ…

                พฤติกรรมสิ้นคิดแบบนั้น….จะอธิบายมันว่าอะไรดี

                 “ขอให้ฉันเป็นแฟนล่ะ”  และแล้วมินโฮก็หาทางออกได้ดีไม่น้อย

                “เพราะว่าตอนนั้นฉันกำลังเสียใจ”  คีย์สารภาพ  ความทรงจำที่มีร่วมกับมินโฮ  ถูกผูกพ่วงด้วยความเจ็บปวดที่เขายังไม่เคยคิดจะลืม 

                รักครั้งแรก…  กับความเจ็บปวดลึกเข้าไปถึงหัวใจเป็นครั้งแรก

                ใครล่ะ จะลืมได้ง่าย ๆ

                “แล้วฉันคิดว่า…นายจะทำให้ฉันลืมอะไรบางอย่างได้ …ล่ะมั้ง”

                “แล้วตอนนี้… ลืมได้หรือยัง”

                หนุ่มร่างสูงถามเสียงใส   ใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้จนทำให้คีย์เผลอกัดริมฝีปากตัวเอง    ดวงตาของอีกฝ่ายลึกซึ้ง… จริงจังกว่าที่เคยคิดไว้

                “ยัง…”

คงไม่ต้องมีคำถาม …ว่าจะเกิดอะไรหากเขาตอบรับมันไป

                “แล้วนายมีวิธีจะทำให้ฉันลืมได้ไหมล่ะ”

                สำหรับเขา  คง…ไม่มีอะไรเสียอีกแล้ว 

               

ได้… ฉันมั่นใจ

                ดวงตาคู่นี้…บอกคีย์เช่นนั้น

                แม้จะขัดเขินบ้าง… แต่คีย์ก็ไม่ต่อต้านเมื่อริมฝีปากอุ่นแนบลงบนเนื้อนิ่มแผ่วเบา ก่อนบดเบียดหนักขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้กลีบปากบางเฉียบตอบรับสัมผัสนั้นอย่างลืมตัว  แม้จะผ่านการจูบมาไม่กี่ครั้ง…หากคีย์เรียนรู้ที่จะปล่อยให้ร่างกายของตนถูกจับจูงไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ     แขนเรียวเล็กโอบรอบคอแกร่ง… เหนี่ยวรั้งร่างของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น   เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียก่อน   มินโฮบดขยี้และขบผิวบอบบางสีหวานนั้น  ก่อนเปิดกลีบปากนุ่มนิ่มนั้นด้วยลิ้นร้อนฉ่า

                ร่างโปร่งบางลอยลิ่วลงไปบนเตียง  ตามด้วยเจ้าของห้องที่ทาทาบลงมาเหนือผิวขาวนวลราบเรียบด้วยท่อนบนที่ถูกสะบัดทิ้งในวินาทีนั้นเอง   จนเห็นมัดกล้ามเนื้อแน่นเรียงตัวกันอยู่ภายใต้ผิวสีบ่มแดดที่แสนเซ็กซี่ ร่างกายแข็งแรงได้สัดส่วนและร้อนรุ่มราวถ่านร้อน ๆ ราวกับจะหลอมละลายร่างของเขาเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกัน  มินโฮฝากตราประทับรอยแล้วรอยเล่าให้เขา 

                น่าแปลก

แค่ครั้งที่สอง…กับคนเดิม แถมยังผ่านมาหลายเดือนมาแล้ว  หากคีย์กลับคุ้นเคยกับทุกสัมผัสของฝ่ามือที่เลื่อนไปทั่วทุกพื้นที่บนร่างของเขา                    

คุ้นเคยจน… ปล่อยตัวเองให้ลอยไปกับความหวานฟุ้งที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นอย่างง่ายดาย

                “ฉันไม่ได้รักใครง่าย ๆ หรอกนะ” 

                “ไม่… ไม่เป็นไร”

                สายฟ้าสว่างวาบ   ทำให้ริมฝีปากสั่นระริก…เขาหลับตาลง  พร้อมกับซุกหน้าและกอดร่างกายใหญ่โตแน่น

                “กอด…กอดฉัน”

                เสียงฟ้าร้องฟาดเปรี้ยง…  วินาทีเดียวกับที่หัวใจแทบหยุดเต้นเพราะความร้อนรุ่มที่แทรกผ่านเข้ามาหลังต้นขาเรียวเล็ก จูบหนักกดแน่นและขบเม้มผิวเรียบลื่นแทบทุกบริเวณที่ทำได้          

“คบกันนะ”             

                มินโฮหอบสะท้าน ขณะเบียดกายลึกสู่พื้นที่ที่เขาเท่านั้นได้เป็นเจ้าของ  เสียงตอบรับดังแผ่วหวิว… ก่อนที่ร่างทั้งสองจะถูกกลืนกินด้วยความมืด  และการทำความรู้จักกันอีกครั้งด้วยร่างกายที่หยัดเข้าหากันท่ามกลางพายุฝนที่พัดกรรโชกอยู่ภายนอกหน้าต่างไม่ต่างจากวันนั้น

                วันแห่งสายฝน…ที่เคยนำให้เขารู้จักกับคีย์

                “อือ…”

 

                23 กันยายน… สามปีที่แล้ว

                ความรักของเขา…เริ่มต้น

 

 

                ไม่ต้องรักก็ได้…

                แค่อยู่ให้รักก็พอแล้ว

                ตั้งแต่รู้ตัวว่ารักคีย์มากแค่ไหน  มินโฮก็คิดเช่นนั้นมาตลอด …..และพยายามห้ามใจไม่ให้คาดหวังให้อีกฝ่ายรู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึก

                ทว่าภาพตรงหน้า…กลับทำให้ทุกสิ่งที่เขาพยายามสร้างมาพังทลายไปทั้งหมด

                และเป็นครั้งแรก… ที่ทำให้เขารู้ว่า  

ความรักที่ไม่หวังอะไร

….ไม่มีอยู่จริง

               

               

 

 

 

                รถยนต์ส่วนบุคคลขนาดกะทัดรัดจอดเทียบบาทวิถีอย่างเงียบเชียบ  เสียงทอดถอนหายใจของคนขับดังแรง เมื่อมองไปยังอากาศข้างนอกที่มีแต่เม็ดฝนโปรยปราย    ท้องฟ้ามืดครึ้ม  ไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้เรียงรายสองข้างทางถูกลมพัดหอบพากิ่งก้านแกว่งไกวไหวแรง  แม้แต่ป้ายรถโดยสารประจำทางก็มีคนยืนอยู่แค่ไม่กี่คน  

“น่าจะให้พี่ไปส่งถึงหอ  พายุเข้าขนาดนี้พี่ไม่อยากให้เรากางร่มไปคนเดียวเลย …คีย์… คีย์”

                “อ… เอ๊ะ”

                คีย์สะดุ้งกับเสียงนั้น  เขาปล่อยความคิดให้ลอยหายไปไกลกับสายฝน  กระทั่งกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของหนุ่มรุ่นพี่   มือเล็กเรียวกำโทรศัพท์ที่เพิ่งส่งข้อความไปถึงอีกคนแน่น    

                “คะ…ครับ” 

                “ง่วนแต่กับโทรศัพท์เชียวนะ…  สนใจพี่บ้างสิ ”

                “ก…ก็ ขอโทษครับ”  คีย์ยิ้มเจื่อน   รีบหย่อนอุปกรณ์สื่อสารลงกระเป๋าอย่างว่าง่าย “อ้าว…ถึงแล้วนี่ครับ  ขอบคุณพี่ซึงฮยอนมากนะครับ”

                “ใช่…แต่แน่ใจเหรอว่าจะกลับเองได้   พี่ไปส่งเอาไหม จะได้ไม่เปียก…เดี๋ยวไม่สบายนะ”  น้ำเสียงของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความห่วงใยลึกซึ้ง  แต่คีย์ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะปฏิเสธ

                ริมฝีปากบางเฉียบคลี่หวาน … ดวงตาเรียวพิจารณาใบหน้าจริงจังของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยด้วยความรู้สึกที่นิ่งสงบมากขึ้น

                แต่ถึงกระนั้น…เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปอย่างไร

                “ไม่ดีกว่าครับ…. หอของคีย์ต้องเดินเข้าไปในซอยน่ะครับ รถเข้าไม่ได้”

                “พายุขนาดนี้ นั่งรอให้ฝนหยุดตกก่อนไหม…”

                ข้อเสนอของอีกฝ่ายกลับทำให้เขานึกถึงอีกคนที่เพิ่งส่งข้อความไป ‘สั่ง’

            ‘รอที่ป้ายรถเมล์นะ…  เอาร่มมาด้วย ’

            “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยว…เดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้ว” คีย์ยิ้มร่าเริง ก่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อดูอากาศภายนอกคล้ายจะพยายามรวบรวมความกล้าจากบรรยากาศรอบตัว  โดยพยายามไม่เปลี่ยนสีหน้าให้อีกฝ่ายจับได้

                “คราวหน้าพี่จะไปส่งให้ถึงหอเลยคอยดู…” ซึงฮยอนมุ่งมั่น    แต่นั่นกลับทำให้ลมหายใจของคีย์กระตุกวูบ

“ผมคง…ไม่มาหาพี่อีก”  เสียงหวานเอ่ยเบา…

                “หือ… ว่าไงนะ”      

                “ผม….ผม.. เอ่อ ” คีย์พูดตะกุกตะกักโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย…   ตาของเขาไปหยุดอยู่ที่กระจกมองหลังแบบไม่ได้ตั้งใจ  หากอะไรบางอย่างกลับทำให้เขาขมวดคิ้วยุ่ง  แทบลืมว่ากำลังพูดอะไรอยู่ 

                ร่ม…

                สีฟ้า…

แม้ว่าจะมองผ่าน ๆ แต่คีย์กลับจำได้อย่างแม่นยำ…  ทุกรายละเอียดบนร่มที่มินโฮเป็นคนหามาให้    

                เสียงหัวใจของคีย์ดังแรงขึ้น… ขณะเอี้ยวตัวไปยังร่มที่วางแอบอิงอยู่บนเบาะหลัง  มือสัมผัสความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในรถที่ห่อหุ้มร่มที่คิดว่าหายไปแล้ว    

                คล้ายกับว่า… มีอะไรบางอย่างที่พุ่งเข้ามาใส่ตัวเขาให้ล้มคว่ำลงไปในฉับพลัน

                ริมฝีปากของเขาสั่นระริก   รู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบกายจะลดลงอย่างที่อธิบายไม่ถูก

                “ทำไมพี่บอกคีย์ว่าร่มหายไปล่ะครับ”  คีย์ถาม ….ทั้ง ๆ ที่ก้มหน้านิ่ง   อยู่ ๆ …. ก็ไม่มีความกล้าแม้แต่จะมองสีหน้าของอีกฝ่ายเสียง่าย ๆ

                ทำไมนะ…

                คีย์ตั้งคำถามให้กับตัวเองอยู่ในใจ….  ทำไม…. 

                ทั้ง ๆ ที่เขาต้องการสิ่งนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ            

                “ไม่งั้น… พี่ก็ไม่ได้เจอคีย์สิครับ” คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ย หลังทอดถอนหายใจยาว     

                “พี่ซึงฮยอน….”

                “พี่แค่… อยากให้เราสองคน….” หนุ่มรุ่นพี่พยายามพูด   แต่คีย์ไม่ปล่อยให้มีโอกาสนั้น

“ผมขอร่มคืนได้ไหม”  เขาพูดตัดบท  

                คีย์ไม่ควรลังเลอีกต่อไป…. การยื้อเวลาต่อไป  ก็รังแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง

                ทุกอย่าง…อาจแย่ลงกว่านี้   หากเขาตัดสินใจช้า

                คีย์เงยหน้ามองซึงฮยอนที่ยังคงมองเขานิ่ง   สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายคล้ายจะตั้งคำถามให้กับการกระทำของเขา  

หนุ่มรุ่นพี่ไม่ตอบคำถามของคีย์  แต่กลับขยับตัวมากางแขนกั้นร่างบอบบางไว้   เขามองตามวงแขนที่พาดไปยังคอนโซลรถ  และก้มหน้าหลบสายตาที่ทอดมองลงมา  

“คีย์เคยชอบพี่ใช่ไหม”

คีย์ชะงักกับน้ำเสียงคาดคั้น    ความจริงในใจทำให้เขาไม่กล้าตอบอะไรไป      

“ผม….  ไม่…. ” เขาส่ายหน้า หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะ ก่อนยื่นมาเชยคางมน พร้อมกับเสียงหนักแน่น  จริงจังเกินกว่าจะคาดเดา

“พี่รู้ว่าคีย์เคยชอบพี่…  แล้วก็รู้ว่าคีย์ยังชอบพี่อยู่”  ซึงฮยอนแย้ง… โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาแก้ตัวเลยแม้แต่น้อย “คีย์จะปฏิเสธพี่…ทั้ง ๆ ที่เราใจตรงกันน่ะเหรอ”

                “พี่… ผม”

“ที่พี่ทำทุกอย่าง… ก็เพราะอยากอยู่ใกล้ ๆ คีย์นะ  ทุกสิ่งทุกอย่าง…เพื่อเราสองคนนะ”

                น้ำเสียงนุ่มนวลทำให้คีย์อ่อนไปทั้งตัว….  ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มเสมอของหนุ่มรุ่นพี่เคลื่อนเข้ามาใกล้   ลมหายใจของเขาขาดห้วง…  เมื่อได้กลิ่นกาแฟอ่อน ๆ  ลอยเข้ามาแตะจมูก

                คีย์ปวดหัว…  ปวดจนแทบทนไม่ไหว    ปวดจนไม่สามารถห้ามน้ำตาร้อนผ่าวที่รินไหลลงมาอาบแก้ม… ขณะที่ดวงตาคู่สวยค่อย ๆ ปิดลงช้า

                พร้อมกับเสียงกระซิบเบา  และสัมผัสแผ่วหวิวที่ริมฝีปาก

            “พี่รักคีย์”

                ครั้งแรก….

จูบ… กับรักแรกของชีวิต

 

 

 

 

 

 

 

ท่ามกลางสายฝน…

ร่มในมือร่วงหล่น

 

ฝนตกกระหน่ำลงมาจนเปียกชุ่ม

หนาวเย็น.. ทำให้สั่นสะท้าน

แต่คงดีกว่านี้…หากสายน้ำจะทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย

 

 

            “รอนะ…มินโฮ”       

                ถ้าเพียงแต่เขาไม่เห็นทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น….

            ถ้าเพียงแต่…. เขาไม่ตั้งใจมองหาคนรักของเขาจนพบ…

และเห็นภาพที่คีย์กำลังจูบกับใครอีกคนภายในรถคันนั้น         

               

“บ้าที่สุด”

                ถ้าเขาเพียง….เข้มแข็งกว่านี้

                ก็คง…มองผ่านเลยไป 

                แล้วกลับไปทำเหมือนว่า…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้

 

 

แต่  22 กันยา… ในปีนี้

            ทุกอย่าง…จบสิ้นแล้ว

 

                มือของคีย์สั่นระริกขณะพยายามดึงร่มให้คลี่กางออก  ขาเรียวเล็กก้าวยาวด้วยความพยายามที่จะออกไปให้ห่างจากที่ ๆ เขาจากมา กว่าที่คีย์จะกางร่มได้  สายฝนฉ่ำเย็นที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ก็ผ่านทะลุเนื้อผ้าเข้าไปสร้างความเยียบเย็นให้กับผิวกายได้อย่างรวดเร็ว    

                คีย์ถอนสะอื้น  มือกระชับคันร่มสีฟ้าของตัวเองแน่น  แม้จะพยายามปาดน้ำตา… หากสิ่งที่คั่งค้างอยู่จนล้นปรี่ก็ไม่อาจทำให้เขาหยุดร้องไห้ได้

                ร่างบอบบางที่สั่นไปทั้งตัวก้าวเท้าถี่ โดยแทบไม่ได้มองทาง   ผลก็คือการปะทะแรงจากผู้ที่ยืนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วจนเซแทบล้ม   โชคดีที่มือแกร่งคว้าแขนเขาไว้แน่น

                “ขอโทษครับ ขอบคุณครับ ” คีย์เงยหน้าขึ้นกล่าวขอบคุณ…  หากคนข้างหน้าไม่ช่วย ป่านนี้เขาลงล้มจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นแต่คีย์กลับตกใจยี่งกว่า   เมื่อเงยหน้ามาพบกับคนที่ทำให้เขาแทบปล่อยร่มในมือ

                “มินโฮ!!!”  คีย์เอ่ยคล้ายไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก  และรีบยื่นร่มไปกางกั้นหยาดฝนที่กำลังทำให้ร่างสูงใหญ่เปียกโชก  สีหน้านิ่งสงบที่ซีดขาวคล้ายคนป่วยของคนรักทำให้เขางุนงง

                “ทำไม…ถึงมายืนอยู่ตรงนี้  แล้ว… ทำไมถึงไม่กางร่ม”  คีย์ควานหาผ้าเช็ดหน้าแห้งจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา โชคดีที่เมื่อครู่เขาโดนฝนไม่มาก  ผ้าเช็ดหน้านั้นจึงยังแห้งสนิท    มือเรียวข้างที่ว่างยกขึ้นไปซับน้ำฝนที่อาบชุ่มใบหน้าคมคาย  ก่อนที่มือแกร่งจะยึดไว้

                “หมี….”

                เป็นครั้งแรกที่เห็นมินโฮเป็นแบบนี้…..

                ครั้งแรกที่… สายตาคู่นั้น ไม่ได้มองมาที่เขา                           

“เรารอดื้อ…นานแล้ว” เสียงสั่นเครือทำให้เขาใจหายวาบ …  มินโฮไม่ได้บอกอะไรเลย  แต่ราวกับเขากำลังถูกทุบตีด้วยน้ำเสียงนั้น

                “ดื้อ… ก็รู้ใช่ไหมว่าเรารอ”

คีย์สูดลมหายใจเข้าลึก…พลางหันหลังไปยังเป้าหมายของสายตาคู่นั้น  พิจารณา..จนมั่นใจ และหันกลับมาพร้อมกับร่างกายที่ชาวูบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

                “นายเห็น….ใช่ไหม”

                สีหน้าของคนถูกถามไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย …   แม้แต่ตอนที่ดวงตาคมสีดำสนิทเลื่อนลงมามองเขา  และเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก

                “ควรตอบว่าอะไรดีล่ะ”

                ทว่า.. คีย์รู้สึกดี ว่าคนที่มองเขาอยู่ในขณะนี้  ไม่ใช่มินโฮคนที่เขารู้จักเลยแม้แต่น้อย

                “เรื่องนั้นฉันอธิบายได้นะ มินโฮ… ฉันไม่รู้ว่าเค้าจะทำแบบนี้… ฉัน..ไม่ได้ตั้งใจ” เขาพูดละล่ำละลักแข่งสายฝนที่ตกแรงขึ้นทุกที…  สายลมแรงจัดส่งให้เม็ดฝนตกกระทบบนร่างจนชุ่มโชกในระยะเวลาไม่กี่วินาที

                คีย์รู้สึกหนาว…. และสั่นสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่มินโฮยังคงนิ่ง …สงบ  ไม่คาดคั้นสิ่งใด   ไม่สิ…  ราวกับ  ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงสายตาตัดพ้อ..  

                “นายคิดว่าฉันโกหกเหรอ….มันคือเรื่องเข้าใจผิดนะ…มันก็แค่..ความผิดพลาด   เชื่อฉันสิ”

                “เหมือนที่พลาดกับเราเมื่อหลายปีก่อนเหรอ….”

 “มินโฮ..ฟังฉันก่อนนะ..ฉัน”

                ดวงตาของคีย์กะพริบถี่  น้ำเสียงของคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจ  หากสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บยิ่งกว่า…คือท่าทีนั้น

                ให้ต่อว่าจะยังดีกว่า  ให้ดุว่าเขา…. 

                “พูดมาสิ…”

                ให้ด่าเขาเจ็บ ๆ ให้โกรธ….ให้ทำร้ายเขา  ยังดีกว่า 

                “รอฟังอยู่”

                ร่มในมือร่วงหล่นทันทีที่คีย์โผเข้ากอดร่างที่เอาแต่ยืนนิ่งแน่นเต็มสองแขน    ไม่หวาดกลัวแม้ว่าฝนจะตกแรงขึ้น  ความเย็นเยียบจากร่างสูงใหญ่นั้นทำให้คีย์สะอื้นแรง   อกกว้างที่เคยอุ่นอาบชุ่มด้วยน้ำ

                ทั้งน้ำฝน…และน้ำตา

            “ฉันรักนาย… ได้ยินไหม….ฉันรักนาย”

            เสียงตะโกนนั้น…ดังลั่นพอ ๆ กับเสียงฟ้าร้องครืนไกล ๆ    

                “ฉันรักนาย”

            คนรักของเขา’….  ตะโกนซ้ำ ๆ  ขณะที่ฝนยังคงตกกระหน่ำลงมาเรื่อย ๆ

                ตาของมินโฮผ่าวร้อน  มือที่ตั้งใจยกขึ้นเพื่อโอบกอดคนตัวเล็กกว่ากลับตกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง

                หัวใจที่เคยเต้นถี่ และตัดพ้อทุกครั้งที่คีย์เลือกไม่พูดคำว่า ‘รัก’

                รัก …ที่เขาอยากได้ยินมานาน

                แต่ไม่รู้ทำไม….

                “อยู่ ๆ …ก็พูดได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเลยเหรอ ”

พอได้ยินในตอนนี้…มินโฮกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่นิดเดียว

                “มินโฮ”

                ชายหนุ่มร่างสูงสั่นไปทั้งตัว   บางทีอาจเพราะสายฝนที่อาบชุ่มร่างของเขาและสายลมที่พัดมาทำให้หนาวขึ้นกว่าเดิม

                เขาตั้งคำถามให้กับสิ่งที่คีย์บอกเขา     แต่ในขณะเดียวกัน มินโฮก็ได้รับคำตอบทั้งหมดจากเรื่องทั้งหมดที่รู้มาก่อน  ในเมื่อ…. ความสัมพันธ์นี้มาจากความรักของเขาแค่ฝ่ายเดียว 

ในทางกลับกัน…คีย์ก็ไม่เคยลืมคน ๆ นั้นได้เลย

                “อยู่ ๆ …ก็รู้สึกรัก  ในวันนี้เหรอ ไม่สิ..รักแค่ในตอนนี้  เหรอ?”

            กลัวอะไรหรือเปล่า…. กลัวอยู่ใช่ไหมคีย์…

                “นายไม่เชื่อฉันเหรอ”   เสียงของคีย์กลืนไปกับเสียงฝน  

            ชายร่างสูงไม่กล้าตอบคำถามนั้น   ไม่กล้าแม้แต่จะจับจ้องดวงหน้าหวานที่มองมาที่เขา   มีคำพูดมากมายที่เขาอยากจะพูด …หากมินโฮกลับอ่อนแอเกินกว่าจะเอ่ยมันออกไป     

            กลัวว่า…เราจะทิ้งคีย์ไปใช่ไหม

            ทำให้เราเชื่อสิดื้อ…. ทำให้เราเชื่อว่าคีย์เลือกเรา….

เพราะความรัก

                “ในเมื่อ… คีย์เองก็รู้ตัวอยู่แล้ว…ว่าไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับเราเลย”

                “อะไรนะ…”  ร่างเล็กคลายอ้อมกอดเล็กน้อย….   คีย์ไม่สามารถมองสีหน้ามินโฮได้ชัดเพราะสายฝน  ทว่า…. ประโยคเมื่อครู่เจ็บยิ่งกว่าฝนแรง ๆ ที่ตกลงมากระทบผิวหน้า

                “แล้วถ้าเป็นคีย์….  ถ้าต้องเป็นคีย์…ที่ยืนอยู่ตรงนี้  มองทุกอย่างจากมุมเดียวกันนี้…จะเชื่อแบบที่เชื่อมาตลอดไหม” 

                มินโฮคิดมาตลอดว่าเขาจะทนได้… ทนกับการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน   ทนเพื่อให้คีย์ตัดใจจากคนที่เป็นรักแรกได้ แล้วกลับมาหาเขาทั้งหัวใจ

                “เราเคยบอกว่า…จะรักคีย์ไปเรื่อย ๆ จนกว่า… จะเชื่อว่าคีย์ไม่มีทางจะรักเราจริง ๆ”

                หากสิ่งที่คิดว่าเคยทำได้  กลับเลือนหายไปทันทีที่เห็นภาพนั้น

ทำไมเขาจะไม่รู้…ว่าสายตาของผู้ชายคนนั้นต้องการอะไร  แล้วเขาจะยังโง่หลอกตัวเองให้ยังเชื่อได้อีกหรือ… ว่าความรักที่หวัง…จะมีวันเป็นจริง           

                “ฉันบอกรักนายอยู่นี่ไง… ฉันรักนาย!! รักนายได้ยินไหม”

                “แล้วถ้า…เราไม่เห็นคีย์จูบกับเขา   เราจะได้ยินแบบนี้ไหม”  เสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้น พร้อม ๆ กับที่มินโฮปิดตาลง  เพราะไม่อาจต่อต้านสายฝนที่กระหน่ำลงมาได้   “คีย์รักเราเพราะกลัวเราทิ้งคีย์…. หรือรักเราเพราะตัวเรากันแน่”

“มินโฮ….”

 “ถ้ามันเป็นอย่างแรก.. เราก็เสียใจอยู่แค่คนเดียวน่ะสิ”

“ไม่ใช่…ไม่”

                วงแขนเล็กพยายามกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น ….  กอด  และยึดเหนี่ยวอีกคนให้อยู่กับเขาให้นานที่สุด   ร่างที่สั่นระริกไม่อาจถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการอธิบายได้  ทำได้เพียงห้ามไม่ให้มินโฮไปไหน  คีย์สะอื้นปานขาดใจ   เมื่อรับรู้ความจริงที่แสนเจ็บปวด

            “เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ คนที่เสียใจก็คือเราคนเดียว  คีย์ไม่เคยคิดถึงเราเลยสักนิดเดียว

เขาทอดทิ้งมินโฮไว้นานแค่ไหนแล้ว…. ละเลยมาขนาดไหนแล้ว

                “อย่าไปไหนนะ….  อย่า…”

                มินโฮแกร่งกว่าเขา….    ฝ่ามือที่แข็งแรงกว่า  แกะมือเขาออกโดยไม่มีคำพูดใด ๆ เอ่ยออกมา  ไม่ว่าคีย์จะพยายามเกาะกอดเอาไว้แค่ไหน  ก็ไม่อาจเป็นไปได้ 

คีย์ไม่ได้รับโอกาสนั้นอีกแล้ว

                “ขอโทษ…  ฉันขอโทษ  มินโฮ…ขอโทษ”

                คีย์คร่ำครวญ  ร่างเล็กบางทรุดเข่าลงกับพื้น    สะอื้นไห้จนตัวโยน  สายฝนโอบล้อมกายเขา   หนาวจนสั่นระริกไปทั้งตัว

                หนาวถึงหัวใจ

                “ความรักของเรา… มันไม่มีค่าขนาดนั้นจริง ๆ”

                แผ่นหลังกว้างหายไปในห้วงพายุที่กระหน่ำลงมา  สายตาของเขาพร่ามัวจนไม่อาจรับรู้ถึงแผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ นั้นได้อย่างชัดเจน   ขาของเขาเองก็อ่อนแรงจนไม่อาจวิ่งตามไปได้

                ความสัมพันธ์ที่สร้างมาหลายปีถูกทิ้งคว้าง  ร่วงหล่น….     

                ไม่ต่างจากร่มที่คนสองคน ต่างจงใจปล่อยทิ้งไว้เบื้องล่าง….  และคงไม่มีใครกล้าที่จะหยิบมันขึ้นมาใช้อีก         

                “มินโฮ……  เชื่อฉันเถอะ.. เชื่อฉันสิ”

                คีย์ร้องขอ … อ้อนวอนกับสายฝนอันหนาวเหน็บ   ร่างกายไหวสะท้าน     ปวดร้าว และทรมานไปทั้งตัว

บางที นี่อาจเป็นบทลงโทษจากสายฝน ….ที่มีให้แก่คนที่จงใจละเลยร่มของตัวเอง และเห็นค่าของมัน…ในวันที่สายเกินไป               

            “ฉันรักนาย…”

                เสียงฟ้าร้องดังลั่นกลบทุกสรรพเสียง…   แม้กระทั่งเสียงหัวใจที่กำลังแตกสลาย และการร่ำร้องปานขาดใจของใครบางคน…

หากคีย์ไม่หวาดกลัวมันเหมือนทุกครั้ง

                สิ่งที่คีย์กลัวคือความเงียบ… และประโยคสุดท้ายของมินโฮต่างหาก

            “ได้ยินไหม…ฉันรักนาย”

ไม่มีร่มอีกแล้ว….     ร่มสีฟ้า

                เหลือเพียงฟ้าสีครึ้ม

 

                และสายฝนที่อาบชุ่มไปทั้งตัว

 

            “ดูแลตัวเองด้วยนะ”

 

 

TBC.

 

9

The First V

 

ทั้ง ๆ ที่อยู่ภายใต้ร่มคันใหญ่ที่มั่นคง… 

แต่ไม่รู้ว่าทำไม  ผมถึงได้รู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน

 

.

.

ดวงตาเรียวสวยปิดสนิท  ทว่ามือเล็กที่สั่นระริกและริมฝีปากเม้มเน้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังพยายามทำทุกวิถีทางให้ตัวเองยังคงหลับต่อไปได้   คีย์ขยับตัวเคลื่อนไปรับไออุ่นบางเบาที่ยังเหลืออยู่บนพื้นเตียงพร้อมกลั้นสะอื้น  เขาสะดุ้งตื่นตั้งแต่ร่างสูงใหญ่ขยับออกจากเตียง  หากยังแกล้งหลับตาพริ้มปล่อยให้อีกฝ่ายคิดว่าเขายังคงหลับสนิทอยู่… มินโฮโอบรอบกายเขาแผ่วเบา และบรรจงจูบที่แก้มอย่างที่เคยทำเสมอทุกครั้งที่คิดว่าเขาหลับก่อนลุกไปอาบน้ำแต่งตัว  ลมหายใจอุ่นของมินโฮยังคงคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม  ไอร้อนผ่าวทำให้หัวใจวาบโหวง และหนักหน่วงจนรู้สึกเหนื่อย

คีย์ยังคงจมอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่มและขดตัวซุกกับขาใหญ่ยักษ์ของตุ๊กตาหมีตัวโต   ขณะเดียวกันโทรศัพท์ในมือก็ยังคงสว่างวาบส่งสัญญาณให้เขาคว้าขึ้นมาดูข้อความที่ใครบางคนส่งมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืน

คีย์ข่มใจทุกครั้งที่เห็นตัวอักษรบนหน้าจอ   ลมหายใจของเขากระตุก… พอ ๆ กับที่ก้อนสะอื้นพร้อมจะพุ่งเข้ามาจุกอยู่ที่คอทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

            ‘โกรธพี่หรือเปล่า’

            พี่ทำอะไรผิดใช่ไหม…

            ‘ขอโทษครับ

เปล่าเลย… ไม่มีใครทำผิดเลย  ไม่มีใครเลยที่ทำผิด

คน ๆ เดียวที่ผิด… ก็คือเขา

คนที่ต้องขอโทษ…ก็คือคีย์ต่างหาก

            คีย์รู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นไม่เหมาะสมกับวุฒิภาวะของตัวเองเอาเสียเลย … การเดินหนีจากเรื่องที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดโดยไม่ยอมบอกเหตุผลหรือชี้แจงใด ๆ ให้กับใครทั้งสิ้นนั้นเป็นการหนีปัญหาที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งหนี… ก็ยิ่งเจ็บ  ทั้ง ๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าการทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวดแต่ก็ยังทำ

…ไม่สิ… ไม่ใช่ทุกคน

คีย์ขดตัวเองยิ่งกว่าเดิมภายใต้ผ้าห่ม และความมืดมิด พลางปิดปากตัวเองแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา   ….

ป่านนี้รุ่นพี่คงกังวลอยู่ไม่น้อยที่เขาหายไป … อาจไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมรับสายหรือตอบข้อความใด ๆ  ช่องทางการสื่อสารทั้งหมดระหว่างเขากับซึงฮยอนถูกตัดขาดตลอดสามวันที่ผ่านมา     คีย์ไม่รู้เลยว่าทำแบบนี้สมควรหรือไม่ … แต่อย่างน้อยก็เพื่อให้เรื่องนี้จบให้สวยที่สุด

แม้จะเจ็บ… แต่ก็ดีกว่าเป็นแผลเรื้อรัง

โชคดีแค่ไหนที่มินโฮยังไม่รู้ …  โชคดีแค่ไหนที่คนเจ็บปวดเป็นแค่เขา กับพี่ซึงฮยอน

            แค่สองคน…

            “ดื้อ…”คีย์สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ  อยู่ ๆ เสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อม ๆ กับอ้อมกอดอุ่นหนาที่โอบล้อมร่างเล็กใต้ผ้าห่มไว้หลวม ๆ  เสียงกระซิบแผ่วหวิวเอ่ยพร้อมกับแรงกดน้อย ๆ เหนือผ้าห่มบริเวณหน้าเขา“ตื่นหรือยัง…หืม”

“อะ… อื้อ” แสร้งตอบเสียงงัวเงีย  ก่อนรีบกลืนก้อนขม ๆ ที่ติดอยู่ใกล้โคนลิ้นลงคอไปอย่างทุลักทุเล

“ไม่ไปเรียนแน่นะ?”

“ปะ… ปวดหัว ”

“ยังปวดหัวอีกเหรอ”  มินโฮทวนคำเสียงเครียด   “ไหน ขอดูหน่อยซิ”

ผ้าห่มถูกดึงออกแทบจะในทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยปาก  จนคีย์ไม่มีเวลาพอที่จะดึงผ้าผืนหนาไว้ปกปิดใบหน้าและดวงตาที่บอบช้ำเลยแม้แต่นิดเดียว …แม้ว่าจะเช้าพอที่แสงสว่างจะส่องผ่านเข้ามาให้ความสว่างในห้องให้พอเห็นหน้ากันได้  แต่ก็ไม่ชัดเจนพอที่จะเห็นรายละเอียดของทุกอย่าง โชคดีที่มินโฮไม่ได้เปิดไฟเพิ่มจนบังคับให้เขาต้องแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตัวเองภายใต้แสงเจิดจ้า

คีย์สูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ ขณะมองคิ้วของมินโฮขมวดยุ่งเล็กน้อยในเสี้ยววินาที แต่กลับเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วราวกับไม่รู้สึกอะไร  สีหน้าของมินโฮปกติเสียจนคีย์ไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ

หากความปกตินี้ …ก็ทำให้คีย์ไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าสีหน้าของตัวเองบอกอะไรออกไปบ้าง

“มินโฮ…”

มินโฮสบตาเขานิ่งครู่หนึ่ง… ดวงตาสีเข้มวาววับและทอประกายด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่างที่คีย์เองก็อธิบายไม่ได้  ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดตรง ก่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้

“ขอคุณหมอวัดไข้หน่อยซิ”

“อ๊ะ… นะ นี่…“

ใบหน้าหล่อเหลาของมินโฮเคลื่อนมาอย่างรวดเร็วโดยที่คีย์ไม่ทันตั้งตัว  หน้าผากอุ่น ๆ จรดลงมาบนหน้าผากของเขาไม่แรงนัก  ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดอยู่เหนือริมฝีปากแผ่วเบาทำให้คีย์กลั้นลมหายใจของตัวเอง …

“ไข้ไม่สูงมาก… แต่ถ้าปวดหัวจริง ๆ ก็นอนพักได้ …  ว่าแต่ปวดแบบไหน… แบบไข้หรือไมเกรน  ”

คีย์กัดริมฝีปากเล็กน้อยกับน้ำเสียงของมินโฮ …  ก่อนเบนสายตาไปยังผนังห้อง

“ไม่รู้เหมือนกัน”

แม้ปกติมินโฮจะเป็นคนยียวนกวนประสาท และชอบยั่วยวนให้เขาโกรธอยู่เสมอ …แต่ทุกครั้งเวลาที่คีย์ป่วยหนัก หรือสีหน้าแย่ลง คนที่คอยดูแลและโอบประคองเขาไว้เสมอด้วยความอ่อนโยนก็คือมินโฮ … มินโฮรู้ทุกครั้งว่าตอนไหนที่คีย์ต้องการให้กอด    รู้ทุกครั้งที่เขาอยากให้อยู่ใกล้ ๆ

เป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้คีย์รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กเล็กที่จะได้รับการตามใจทุกครั้งที่ป่วย

เขารู้สึกเกลียดตัวเองในเวลานี้   ทุกครั้งที่รู้ว่ามินโฮกำลังอ่อนโยนมากแค่ไหน …เขาก็อยากได้รับมันมากยิ่งขึ้นไปอีก

มินโฮทำให้เขาได้ทุกอย่าง… แต่ในขณะเดียวกัน …เขากลับไม่เคยทำอะไรให้มินโฮเลยแม้แต่นิดเดียว

“หลังเลิกเรียนออกไปข้างนอกกันนะ นอนอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ดีเลย” มินโฮชวน  หากคีย์กลับส่ายหน้าและขยับตัวคว่ำหน้าลงกับหมอนใบใหญ่

“ไม่… ไม่อยากไปไหน” เพียงแค่คิดถึง…ก้อนเนื้อในอกก็หนักขึ้นราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับไว้อยู่เบื้องบน  น้ำเสียงและสีหน้าของเพื่อนอีกคนตามหลอกหลอนเขาทุกวัน

ไม่อยากเจอใคร…

โดยเฉพาะ… จงฮยอน

            “มึงไม่สงสารมินโฮเหรอ”

“เหนื่อย เบื่อ… กลัวฝน” บอกเสียงอู้อี้ในคอ  คีย์ปิดตาลง และลอบถอนหายใจแผ่วเบา

“กลัวฝน?” มินโฮทวนคำ … ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะทาทาบลงมาเหนือร่างบอบบาง ลำแขนแกร่งคร้ามแดดยาววางบนท่อนแขนเรียวเล็ก พร้อม ๆ กับที่นิ้วเรียวยาวประสานกับนิ้วที่วางอยู่เบื้องล่างอย่างหลวม ๆ   มินโฮซุกหน้าลงบนเรือนผมนุ่มสลวย และหัวเราะ  “เหมียวน้อยกลัวน้ำเหรอ”

“อื้อ…หนักนะ หมีบ้า ” คีย์ขึ้นเสียง หากคนที่อยู่เบื้องบนหาได้สนใจแม้แต่น้อย  คนตัวเล็กหน้ายุ่ง  แต่ก็ยอมรับน้ำหนักของคนตัวโตแต่โดยดี เพราะอ่อนแรงเกินกว่าจะผลักไส  “แล้วเวลาเปียกฝนมาใครล่ะที่บ่นอยู่ได้ทั้งวัน … ”

เสียงทุ้มหัวเราะเบา   ก่อนจะกระซิบข้างหูคล้ายจะน้อยใจ  “งั้นร้านที่จองไว้พรุ่งนี้ก็เป็นหมันสิ”

“พรุ่งนี้มีอะไร” คนตัวเล็กถามเสียงเนือย ๆ ลมหายใจผ่าวร้อนที่รินรดอยู่เหนือต้นคอทำให้คีย์รู้สึกสบายอย่างน่าประหลาด ไออุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้เขาเกือบเคลิ้มหลับไปได้อีกครั้ง    “หือ…. ”

“นั่นน่ะสิ… มีอะไรน้า” มินโฮทวนคำ  ก่อนที่มือใหญ่จะค่อย ๆ ประคองมือเล็กขึ้นและจูบเบาบนนิ้วเรียวสวยทีละนิ้ว… และหยุดลงบนแหวนเงินเนื้อเกลี้ยงที่นิ้วชี้   คีย์ขมวดคิ้วยุ่งกับการกระทำนั้น…  ก่อนเบิกตากว้าง และพลิกตัวกลับทันที  มินโฮใช้มือยันกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนยิ้มกริ่มเมื่อพบกับความตกใจบนใบหน้าสวย

            “เฮ้ย!!!!  สามปีแล้วเหรอ!ร่างบอบบางลุกพรวดขึ้นด้วยหน้าตื่น ๆ

“หือ”  มินโฮเอียงหน้าเล็กน้อย … มุมปากยกขึ้นพร้อมด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน   คนตัวเล็กกระสับกระส่ายและเบิกตากว้างระหว่างบ่นพึมพำถึงเรื่องที่ถูกจุดประกายขึ้นมา

“นะ…นี่เราคบกันมาจะสามปีแล้วเหรอ  อะ… อื้อ… ”

เสียงนุ่มหายไปแทบจะในทันทีที่ริมฝีปากอุ่นร้อนแนบลงมาบนเนื้อนิ่ม ไออุ่นผ่าวร้อนส่งผ่านลมหายใจและปลายลิ้นชื้นแฉะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แผ่นหลังบอบบางถูกผลักติดกับหัวเตียง … ขณะที่ปลายเท้าจิกลงบนพื้นเตียง  มือเล็กเคลื่อนไปยึดเหนือบ่ากว้างไว้  จูบร้อนแรงหากนุ่มนวลทำให้คีย์แทบลืมทุกอย่างอีกครั้ง   กลีบปากบางเผยอรับจุมพิตไปพร้อม ๆ  กับท้าทายไปด้วยในตัว

มินโฮพบว่าหน้าของคีย์แดงก่ำ หลังจากถอนริมฝีปากออกมา  นานเนิ่นพอดูกว่าที่เขาจะตัดสินใจดึงตัวเองออกมาก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปไกลกว่าที่ตั้งใจไว้   ร่างกายของเขาตื่นตัว  …หากภาระที่รออยู่ทำให้ต้องตัดใจออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก

“อะ… อะไรเล่า  ไอ้บ้า.. คึกแต่เช้าเลยหรือไง”

ร่างเล็กหอบเล็กน้อย ริมฝีปากบวมช้ำ  น้ำเสียงหอบหวิวถามอย่างเคือง ๆ  พร้อมกระชากผ้าห่มขึ้นมากางกั้นร่างกายของอีกฝ่ายไม่ให้ใกล้เขาอีก  คีย์คุ้นเคยกับมันจนรู้ดีว่าหากไม่หยุดตอนนี้ คนตรงหน้านั่นแหละที่จะไม่ยอมปล่อย

“ดีใจ…”

“เอ๊ะ.. ”

เป็นครั้งแรกของวันที่คีย์กล้าสบตามินโฮตรง ๆ  สีหน้าของอีกฝ่ายสดชื่น และเต็มไปด้วยความสุขอย่างบอกไม่ถูก  ตาคมเข้มทอดที่กำลังมองเขาเปล่งประกายลึกซึ้ง..

“จำได้ไหมว่าวันนี้วันอะไร”

“ก็ 22 กันยา … ใช่ไหม? ” คีย์ขมวดคิ้วถามอย่างไม่แน่ใจ … จนต้องเหลียวกลับไปดูปฏิทินที่วางอยู่บนหัวเตียง  แต่ไม่ทันที่จะเอื้อมมือไปคว้า  คนตัวโตก็รวบตัวเขาไปกอดแน่น

“.. นะ นี่”

“พรุ่งนี้น่ะ… มันวันเกิดดื้อนี่นา”

“หือ…” คีย์รับฟังประโยคนั้นพร้อมคิ้วที่ขมวดยุ่ง… “วัน… เกิด”

“เฮ้ย!!!” เจ้าของวันเกิดที่เพิ่งนึกขึ้นได้ผลักร่างสูงใหญ่ออกในทันที พร้อมกับทวนคำอย่างตกใจ “วันเกิดฉันด้วยนี่… ลืมไปเลย”

23 กันยายน…คีย์อยากจะตีหัวตัวเอง … ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ก็ลืม… ลืมไปว่าวันนี้ของทุก ๆ ปีคือวันเกิดของตัวเอง

น่าแปลก…ที่คีย์กลับไม่ลืมว่าเป็นวันเดียวกับเมื่อสามปีก่อนที่ตัดสินใจคบกับคนตรงหน้า

“ไม่ต้องมายิ้มเลย หมียักษ์…  พลาดนิดพลาดหน่อยอย่ามาทำเป็นดีใจจะตายแบบนั้นนะ”

คีย์กัดริมฝีปากแน่น เพื่อพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้มตอนที่มองสีหน้าดีอกดีใจของหมียักษ์ที่กำลังกลายร่างเป็นหมายักษ์ครางหงิง ๆ กระดิกหางดีใจเหมือนกำลังได้รับอาหาร

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนะหมายักษ์!”

คนถูกเรียกเป็นสัตว์หลายสายพันธุ์ไม่ถือสาอะไร  ชายหนุ่มพุ่งไปหอมแก้มนิ่มหนัก ๆ และยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบให้เขาดูใกล้ ๆ

“เอ้า… ก็คนมันดีใจนี่ … ดื้อจำวันครบรอบของเราได้ก่อนวันเกิดตัวเองซะอีก”

“นี่.. อย่ามานะ…”  คีย์ผลักคนตัวใหญ่ออก และเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะไม่ใส่ใจ  “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ  หมียักษ์นี่ก็เป็นของขวัญครบรอบ  แหวนนี่ก็ใช่…   มีแต่ของขวัญแบบนี้ติดตัว ใครจะจำไม่ได้ล่ะ”

“แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ให้น่ะมันเป็นของขวัญวันเกิด”

“ก… ก็… ก็ ” เป็นคำถามที่ทำให้คีย์หน้าร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู  … เขากัดริมฝีปาก  ก่อนเบี่ยงกายไปซุกหน้าลงบนหมียักษ์

“ก็ของพรรค์นี้ใครเค้ามาให้เป็นของขวัญวันเกิดเล่า”

“เอ้า ผิดตรงไหน  ใคร ๆ ก็ให้หมีเป็นของขวัญวันเกิดกันทั้งนั้น  ผิดเหรอดื้อ? ”

“ไม่รู้วุ้ย  ไอ้บ้า  รีบแต่งตัวไปเรียนเลยไป๊” คีย์ใช้แรงทั้งหมดยกตุ๊กตาหมีใหญ่ทุ่มใส่หมีตัวยักษ์แทบจะในทันทีที่พูดจบ  แต่มินโฮเคยชินจนหลบทัน เขาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น  และพุ่งไปตะครุบร่างเล็กที่กำลังขยับหนีเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“หมีบ้า… ไอ้บ้า ”

คีย์ตะโกนลั่น  และดิ้นขลุกขลักอยู่ข้างใต้ผ้าห่มที่ถูกรวบเอาไว้แน่นด้วยฝ่ามือของคนข้างบนจนเหนื่อย   จึงยอมสลบลง   เสียงหัวเราะหายไป พร้อมกับอ้อมกอดหลวม ๆ ของมินโฮ…

“สามปีแล้ว… เร็วเหมือนกันเนอะ”

คนตัวเล็กดึงแขนออกจากผ้าห่ม และพลิกกายมากอดคนข้าง ๆ บ้าง …  คีย์ซุกหน้าลงบนอกอุ่นพร้อมด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้

อยู่ ๆ ก็นึกอยากอ้อนให้มินโฮอยู่ด้วยตลอดวัน  และฉลองวันเกิดพร้อมกับวันครบรอบสามปีพร้อมกันโดยไม่ต้องออกไปไหน  อยากให้มินโฮอยู่ด้วย… อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ  อยากสูดกลิ่นอาฟเตอร์เชฟบางเบา  อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นหนา และนอนฟังเสียงทุ้มนุ่มนี้ไปเรื่อย ๆ ทั้งวัน

“อือ… เร็วเนอะ”   อยากให้มินโฮกอดไปเรื่อย ๆ จนกว่าที่คีย์จะลืมทุกเรื่องที่วุ่นวายใจ คีย์เชื่อ …ว่าถ้าเพียงแต่มินโฮ กอดเขาไว้   คีย์คงลืมทุกอย่างได้ในสักวัน

” รู้อะไรไหม”

“หือ…”

“ดื้อเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในวันที่ 23 กันยาของเราเลยนะ”  น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างหู  คีย์ชะงัก  หัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่มีเหตุผล

“อ.. ไอ้บ้า เสี่ยวเป็นบ้า” คีย์ต่อว่า พร้อมซุกซ่อนใบหน้าที่ผ่าวร้อนกับอกกว้าง   ปล่อยให้แขนของมินโฮโอบเขาแน่นขึ้นอีก แม้จะขัดกับประโยคต่อมาของตัวเองก็ตามที “ปล่อยได้แล้ว …เดี๋ยวไปเรียนสาย”

“ขออีกนิดนะ…” เสียงทุ้มต่อรอง  พลางโยกตัวไปมาราวกำลังปลอบทารกตัวน้อยในอ้อมแขนให้หลับ  คีย์ซ่อนรอยยิ้มบางไว้มิดชิด และหลับตาอยู่ภายใต้กอดที่แสนอุ่นอย่างสบายใจ

พื้นที่ของเขา… อ้อมกอดที่เป็นของคีย์แค่คนเดียว

“หมีบ้า…”

“ดื้อ”

“ไม่ไปไหนได้ไหม?”

“หือ…” มินโฮเลิกคิ้ว ประโยคลอย ๆ นั้นเอ่ยราวกับไม่จริงจังนัก … แต่คีย์ที่ปกติจะแก้คำพูดของตัวเองในทันทีที่รู้ว่าเพลี่ยงพล้ำด้วยการพูดทำนองที่ว่า ‘ไอ้บ้า… พูดเล่นต่างหากล่ะ ใครจะอยากให้อยู่ด้วย’  หากคราวนี้คีย์กลับนิ่งเสีย… และสอดแขนมากอดเขาแน่นกว่าเดิมราวกับอยากให้เขาอยู่ด้วยจริง ๆ

หัวใจของมินโฮลิงโลดขึ้นมาในทันทีที่รู้สึกได้ถึงความหมายของคีย์   ถ้าเป็นวันปกติที่ไม่ใช่วันนี้มินโฮคงไม่ละโอกาสแบบนี้ไปแน่ ๆ เจ้าของร่างสูงถอนหายใจ และเอ่ยเสียงอ่อน

“วันนี้มีเทสต์ย่อย… คงไม่ได้”

“….”

“คีย์…เป็นอะไรหรือเปล่า”

คนที่เงียบเสียงไปสะดุ้งเล็กน้อย  ก่อนถูหน้าไปมาบนกล้ามเนื้อแน่น ๆ บนอกกว้าง มือเล็กกระตุกแขนเสื้อที่เริ่มจะยับยู่ยี่และเอ่ยเสียงอู้อี้

“วันนี้มีของขวัญอะไรให้ไหม?”

“อยากได้ของขวัญขนาดนั้นเลย…”

“ไม่รู้สิ…  ไม่รู้เหมือนกัน“

มินโฮแปลกใจกับท่าทีเงียบขรึมราวกับตกอยู่ในภวังค์นั้น  … ลมหายใจของเขากระตุกเล็กน้อย   เรื่องราวบางอย่างที่เข้ามาในความคิดกำลังสะกิดหัวใจของเขาให้เจ็บ ๆ คัน ๆ  และทับถมลงจนหนักอึ้ง

มือหนาคว้ามือเรียวบางมากุมไว้ … ก่อนค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นเมื่อพบว่าเวลากำลังเคลื่อนไปเรื่อย ๆ  หากไม่รีบออกจากห้องตั้งแต่ตอนนี้ เขาคงไม่ทันเทสต์ย่อยของวิชาสุดโหดอย่างแน่นอน

มินโฮเตรียมที่จะลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าใหม่   หากปลายนิ้วเล็กที่เกาะเกี่ยวมือเขาแน่นกลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น  … โดยเฉพาะน้ำเสียงอ่อนหวานที่เอ่ยขึ้น

“รักฉันไหม”

“ทำไมอยู่ ๆ ….” คำถามที่ตั้งใจถูกกลืนลงคอในทันทีที่มองหน้าคนตัวเล็ก … สีหน้าราวกับจะร้องไห้ของคีย์ทำให้มินโฮแทบไม่ต้องคิดว่าจะพูดอะไรออกไป   “รักสิ…”

“จริงนะ… ”

“ไม่ว่ายังไง… ก็รักดื้ออยู่แล้ว…”

หน้าสวยเงยขึ้นมองเขา… ริมฝีปากได้รูปเม้มสนิท  ก่อนก้มหน้าลงและปล่อยมือเขาแทบจะในทันที

“อื้อ… ”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ … ป่วยทีไรชอบอ้อนทุกทีเลย  เดี๋ยวจะรีบกลับนะ” มินโฮจิ๊ปาก  และขยับไปฝังจมูกโด่งสวยบนแก้มนิ่มแรง ๆ  จนคนขี้อ้อนเป็นฝ่ายผลักเขาออกมาเอง

“ไปเลย…  ”

มินโฮยิ้มกว้าง  มองคนที่หน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกที่แปลกไป  หัวใจพองโตขึ้น… ความสุขอาบล้นเมื่อพบว่าสิ่งที่เขากังวลและซุกซ่อนมันไว้มาตลอดสามวันที่ผ่านมาอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

“ไปแล้วนะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยและจัดคอปกเสื้อให้เข้าที่  คีย์ก้มหน้างุด นิ่งเงียบไปนาน จนกระทั่งมินโฮจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เตรียมที่จะหันหลังออกไปจากห้อง   เสียงทุ้มต่ำจึงดังขึ้น

“ฉันก็มีของขวัญจะให้เหมือนกันนะ”

ร่างสูงใหญ่นิ่งอยู่กับที่ … ริ้วแดงฉานบนแก้มขาว ๆ และน้ำเสียงอ่อนหวานแทบจะทำให้เขาทิ้งการสอบที่สำคัญไปได้ในวินาทีนั้น…

“ยังไม่บอกหรอก….ความลับ”

“หือ…”

“ตะ…แต่รอฉันนะ….”

หน้าสวยเงยขึ้นมองเขา  ริมฝีปากบางเฉียบเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนทุกครั้งที่คีย์กลายร่างเป็นแมวเหมียวขี้อ้อน …  สายตาอ้อนวอนและมือที่ประสานกันแน่นอยู่บนตักทำให้มินโฮแทบก้าวออกไปจากห้องไม่ได้

“อีกนิดเดียว…ช่วยรอฉันด้วยนะ”

มินโฮไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคีย์ให้เขารออะไร … แต่นั่นก็มากเพียงพอแล้ว

มากเพียงพอสำหรับความหวัง….

            “รอนะ…มินโฮ”

“อือ…รออยู่แล้ว” เสียงเขาสั่น…

คีย์นั่งนิ่งอยู่บนเตียงโดยแทบไม่ได้ขยับไปไหน  เสียงที่บ่งบอกความเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมห้องหายเงียบไปพร้อมกับเสียงปิดประตู     เขากัดฟันกรอดอย่างที่เป็นทุกครั้งเวลาเครียด… และถูกมินโฮดุอยู่บ่อยครั้ง

มือเล็กขยับแหวนบนนิ้วไปมา  ก่อนที่น้ำตาจะร่วงหล่นลง

ความรู้สึกอึดอัด…เจ็บปวด ถาโถมเข้ามาอัดกันอยู่ในหัวใจ  …สิ่งที่แบกรับเอาไว้ หนักหน่วงเกินกว่าจะรับไหว …

“สามปีแล้วเหรอ… ”

คีย์ปล่อยเสียงสะอื้นออกมา  น้ำตาหยดแผละลงบนแหวนที่กำลังค่อย ๆ เลื่อนออกมาจากนิ้วชี้

“ขอโทษ… ขอโทษ   มินโฮ”

            ‘รักครั้งแรก … แฟนคนแรก’

คีย์มั่นใจ…ว่านี่คือการเลือกที่ดีที่สุด

อย่างน้อยก็สำหรับทุกคน

            ข้อความถูกส่งออกไป …

พร้อมกับแหวนเงินเนื้อเกลี้ยงที่ถูกสวมเข้าที่นิ้วนาง

เพียงเท่านี้…ทุกอย่างก็จะกลับไปเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น….

แค่มินโฮไม่รู้ก็เพียงพอแล้ว

 

 

            ‘กูจะเลิกยุ่งกับเค้าแล้ว…

ขอบคุณนะ ที่ไม่บอกมินโฮ

 

 

“เป็นไงมึง… หน้าบานเชียว“

เขาส่งเสียงทักเมื่อพบว่ามินโฮเดินมาพร้อมกระเป๋าใบเก่งด้วยมาดนายแบบ  หน้าหล่อเหลาของมันประดับรอยยิ้มน้อย ๆ  เสื้อผ้ายับยู่ยี่เล็กน้อยผิดวิสัยหมีเจ้าระเบียบ  หากเจ้าตัวดูจะไม่ใส่ใจนัก  ตากลมโตสดใสและดูมีความสุขกว่าที่เห็นเมื่อหลายวันก่อนจนเกือบเป็นปกติ

ถ้าไม่ได้ข้อความจากคีย์มาก่อน  เขาก็คงตกใจที่สีหน้าของมินโฮดีกว่าที่เคยจินตนาการไว้มาก

“ก็ไม่เป็นไง … โอเค”

คนตัวสูงเอ่ยเสียงเรียบ …  หากดวงตากลับวิบวับอย่างน่าประหลาด   จงฮยอนส่ายหน้าอย่างรู้ทัน  แต่เพราะตั้งใจว่าจะไม่พูดถึงสิ่งที่รู้มาจนกว่าคีย์จะจัดการอะไรต่อมิอะไรของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเสียก่อน   เขาจึงทำได้เพียงยักไหล่เล็กน้อย

“ดีแล้ว …เฮ้ย!”  อยู่ ๆ เจ้าคนตัวสูงก็เซถลามาหาพร้อมกับเหวี่ยงแขนขึ้นพาดบนไหล่เขา    จงฮยอนสะดุ้งโหยง ขณะเอียงคอมองคนที่เดินมากอดไหล่ “อะไรของมึงวะ ”

“กูรักคีย์ว่ะ”   มินโฮระเบิดเสียงออกมาในที่สุด  ท่าทางนิ่ง ๆ ที่จงฮยอนเห็นแต่แรกนั้นเก็บกักความรู้สึกมากมายเอาไว้จนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว

หนุ่มร่างเล็กหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยย้ำด้วยความจริงจัง

“กูรักคีย์มากจริง ๆ นะมึง… ”

“เออ กูรู้ ”  จงฮยอนเตะขาเพื่อน และผลักร่างสูงใหญ่ออกด้วยความหมั่นไส้   เห็นท่าทีของเพื่อนสนิทแล้วจงฮยอนก็อ่อนใจ  ทั้งขำ และสงสารไปในคราวเดียวกัน

“คีย์มันอ้อนอะไรมาอีกล่ะวันนี้ … ระวังถูกหน้าซื่อ  ๆ หลอกอีกนะมึง” จงฮยอนพูดเพราะต้องการแซวเล่นตามประสาคนปากไว  แต่ทันทีที่พูดจบ  หน้าบาน ๆ ก็หุบลง  กลายเป็นหน้าเจื่อน ๆ และแววตาเศร้าเข้ามาอยู่แทนที่ พอหันไปมองอีกครั้ง  คนพูดก็แทบจะตบปากตัวเอง

“เฮ้ย…กูไม่ได้ตั้งใจ ”

“เออ ๆ ไม่เป็นไร …กูก็…  ชินแล้ว”  มินโฮตบไหล่เพื่อน  พลางยิ้มขื่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ต่อให้พยายามลืมแค่ไหน ก็ไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว

“คีย์มันไม่อะไรหรอก อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวมันก็กลับมาตายรังอยู่กับมึงเหมือนเดิมนั่นแหละ”  จงฮยอนพูดต่อ  วันนี้เขามาเร็วเกือบยี่สิบนาที  ห้องเลคเชอร์จึงยังไม่ว่าง  จึงตัดสินใจยืนคุยกับเพื่อนอยู่ที่หน้าห้องอย่างสบายใจ  “น้ำหน้าอย่างมันจะอยู่กับใครได้  ว่าแต่มึงนั่นแหละที่ใจอ่อนกับมันทุกที มันถึงได้เอาแต่ใจแบบนี้ไง  อย่าปล่อยให้มันอ้อนจนเคยตัวนักสิ …”

“อือ” มินโฮยิ้มบาง พลางก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“กูถามมึงหน่อยสิ …”

“อะไร”

“ทำไมถึงรักคีย์นักล่ะ … กูเห็นตั้งแต่มึงตามจีบมันตอนปีหนึ่งแล้ว  ไปชอบมันตอนไหนวะ”

“….. ก็… นิดหน่อย ”

“นิดหน่อยอะไรของมึง”

“อธิบายไม่ถูกว่ะ” มินโฮสารภาพ  … เขาไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับเรื่องตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกับคีย์  … และไม่เคยพูดถึงมันอีก ตั้งแต่คบกับคีย์มา “ทำไมวะ… แค่กูรักแฟนตัวเองมันดูแปลกขนาดนั้นเลย”

คีย์อาจลืมไปแล้ว… เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจำเลยแม้แต่น้อย

“กูสงสัยเฉย ๆ … กูจำได้ว่าครั้งแรกที่มึงเจอคีย์ กูก็อยู่กับมึง มึงยังถามกูอยู่เลยว่ามันชื่ออะไร กูเลยสงสัยไงว่าคีย์มันมีดีขนาดให้มึงรักมึงหลงขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“มึงคิดงั้นเหรอ”

“ก็เออน่ะสิ… คนอย่างคีย์มีดีอะไรให้มึงรักขนาดนั้นวะ  อย่าบอกนะมึงว่ารักแท้ไม่มีเหตุผล กูจะอ้วก”จงฮยอนพูดแบบไม่เกรงใจเพื่อน   จนคนถูกถามยิ้มหวาน และเอ่ยกวน ๆ

“ รู้แล้วนี่ จะถามทำไม ”

“โอ๊ย   อย่าบอกนะว่ามึงรักมันแบบไม่มีเหตุผลจริง ๆ  … เรื่องของพวกมึงสองคนนี่มันจะเน่ายิ่งกว่าดาวพระศุกร์อีกนะ” จงฮยอนทำท่าจะอาเจียนจริง ๆ ขณะพูด  มินโฮเตะขาสั้น ๆ ของเพื่อน  และหัวเราะออกมา

“ผิดเหรอ”

“เออ ผิดมาก” จงฮยอนเตะกลับ  หากคราวนี้ เจ้าของร่างสูงกลับยืนนิ่งไม่ตอบโต้  แผ่นหลังกว้างพิงเข้ากับผนังคอนกรีตเฉียบเย็น  สองมือล้วงกระเป๋า … ดวงตาเหม่อลอยไปไกลราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

            “กูก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน…   ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มจากอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยเบา …  “แต่กูเคยทำผิดกับคีย์… ตั้งแต่ยังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ”

“ทำผิด?  อะไรวะ” เขาสนใจ

“เรื่องนี้กูขอนะ ..  ถึงยังไงกูก็ไม่พูด  “  คำตอบนั้นทำให้จงฮยอนเบ้ปาก   หนุ่มร่างเล็กบ่นพึมพำอย่างเซ็ง ๆ

“เอาเป็นว่าสิ่งที่กูทำครั้งนั้นกับคีย์มันทำให้กูรู้สึกผิด   แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว    เป็นครั้งแรกที่กูรู้สึกว่ากูพลาดที่ทำแบบนั้นลงไป   เพราะหลังจากนั้น กูคงไม่มีวันได้พบคน ๆ นี้อีกแล้ว”

มินโฮนึกไปถึงวันที่วิ่งออกมาจากโรงแรม   ร่างเล็กไม่ทิ้งอะไรไว้เลย    ไม่มีเบอร์ติดต่อหรือแม้กระทั่งชื่อ  เว้นแต่ภาพชุดนักเรียนในความทรงจำ …  เขาพอรู้ว่าโรงเรียนนั้นอยู่ที่ไหน  แต่โชคร้ายที่หลังจากนั้นเป็นช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม  ที่สำคัญก็คือเขาต้องย้ายไปอยู่ญาติที่อยู่อีกเมืองเพื่อเรียนต่อในเดือนนั้นเอง

ก่อนที่จะย้ายออกมา  มินโฮไปที่หน้าโรงเรียนนั้นเกือบทุกวัน   แม้จะรู้ว่าไม่มีนักเรียนคนไหนไปโรงเรียนในช่วงปิดเทอมก็ตาม

“แต่มึงเชื่อไหม  ว่าอยู่ ๆ …กูก็ได้เจอเค้าอีกครั้ง”

ร่างบอบบางแทบไม่ต่างจากวันแรกที่เจอเลยแม้แต่น้อย คนตัวเล็กเพิ่งก้าวห้องเรียนรวมที่ปกติจะมีแต่นักศึกษาปีหนึ่งเรียนเท่านั้น  มินโฮมองใบหน้าเรียบเฉย  ดวงตาเรียวเล็ก  ริมฝีปากสีชมพูสวยโดดเด่น อย่างไม่แน่ใจนัก  และตัดสินใจก้าวเข้าไปหาแทบจะในทันทีที่มั่นใจ

“ตั้งแต่วันนั้น… กูก็รู้ว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น  กูจะไม่ปล่อยให้คีย์หนีไปอีก”

มินโฮมั่นใจว่า  ถ้าเขาปล่อยให้คีย์หลุดมือไปอีกครั้ง… เขาคงไม่มีวันคว้าตัวคีย์มาได้อีกแล้ว

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

มินโฮพยักน้ารับ… ก่อนสารภาพ “แต่ความจริงกูก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่ารักคีย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อ้าว…”

“ตอนแรกกูรู้แต่ว่ากูไม่อยากปล่อยมือจากคีย์ไปอีก    แต่พอรู้ตัวอีกที….” เขาพึมพำคล้ายจะพูดกับตัวเอง …  ใช่ว่าเขาจะไม่เคยถามตัวเองถึงเรื่องนี้   แต่ความรู้สึกของคนเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย

จงฮยอนเกาหัวแกรก ชักสับสนกับความสัมพันธ์ของทั้งสอง  ไม่นับรวมเรื่องที่ไปรู้มาอีก

“เรื่องของพวกมึงสองคนนี่มันวุ่นวายจริง ๆ ว่ะ”

เอาเป็นว่า…ความรักนี่มันช่างทำให้วุ่นวายเสียเหลือเกิน

มินโฮหัวเราะหึหึ   ไม่พูดอะไรต่อ

“เอาวะ …ยังไงซะ …มึงก็รอมันหน่อยแล้วกัน… ” จงฮยอนพูดเสียงอ่อน… เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง   หากประโยคคุ้นหู กลับทำให้มินโฮได้ยินชัดราวกับอีกฝ่ายตะโกนอยู่ใกล้ ๆ  ชายหนุ่มทอดมองเพื่อนสนิทพร้อมกับคิ้วที่ขมวดยุ่ง…

“มึง…” ริมฝีปากหนาขยับจะถาม  หากอาจารย์ที่เดินผ่านหน้าตรงดิ่งไปห้องเลคเชอร์เอ่ยเสียงเรียบบอกให้เขาห้ามตัวเองไว้ก่อน

“เข้าห้องได้แล้วค่ะ”

“คร้าบ  … มินโฮ …. เทสต์คราวนี้กูซวยแน่ ยังจำไม่ได้หมดเลย  บทนี้ยากชะมัด ”

“เออ”

มินโฮถอนหายใจแรง … ขณะเดินตามเพื่อนสนิทและอาจารย์สาวเข้าห้อง  บทเรียนครั้งนี้อยู่ในหัวหมดทุกเรื่องแล้ว จนมินโฮมั่นใจว่าจะทำข้อสอบได้อย่างสบาย ๆ ก็จริงอยู่ …

หากเรื่องที่อยู่ในหัวก็มากพอจะทำให้เขาอยู่กับเรื่องอื่นมากกว่าข้อสอบที่จะต้องทำ

คำพูดของจงฮยอนทำให้มินโฮคิด …

.
อย่าปล่อยให้มันอ้อนมากจนเคยตัว…

.

หนุ่มร่างสูงส่ายหน้าและถอนหายใจอีกครั้ง…

คนที่เคยตัวน่าจะเป็นเขามากกว่า

เป็นเขา…ที่คงทนไม่ได้  หากต้องสูญเสียคีย์ไป

.

.

.

และที่แย่ที่สุดก็คือ

.

.

คนที่ทนไม่ได้…อาจจะเป็นเขาอยู่แค่ฝ่ายเดียว

TBC.

T_T โกรธตัวเองมากจริง ๆ ขอโทษ… #ทำไมต้องยาว

12

The first IV

 

ผมไม่เคยรู้คุณค่าของร่มในมือเขา

 กระทั่งวันที่สายฝนโหมกระหน่ำมาทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

 

วันนั้น…. ฝนตกหนักเหมือนวันนี้

คีย์กำลังหยุดยืนข้ามถนน… และมีคนยืนอยู่เคียงข้างไม่ต่างจากวันนี้

“แค่ก ๆ… ” ร่างบอบบางไม่ถูกกับฝนเอาเสียเลย ฝนตกทีไรต้องมีไอหรือปวดหัวตลอดเวลา   อาการไข้ที่ทรง ๆ ทรุด ๆ อยู่หลายวันทำให้เขารำคาญตัวเองไม่น้อย   ลำบากคนอยู่ด้วยแทบทั้งวันทั้งคืนอย่างมินโฮทั้งต้องคอยปลอบคอยขู่ แถมยังต้องคอยดูแลตอนเขามาเรียนด้วย   ชายหนุ่มเดินไปส่งเขาที่ห้องเรียน และเดินกลับไปเรียนที่ตึกตัวเอง  ก่อนเดินมารับพาไปส่งอีกตึกเมื่อหมดคาบเรียน

มินโฮดูไม่เหนื่อยแม้แต่นิดเดียวที่ต้องดูแลเขา…  แต่กลับบ่นเรื่องที่เขาไม่ยอมไปหาหมอซ้ำแล้วซ้ำอีกจนคีย์เบื่อ

“ถ้าพรุ่งนี้ไม่หายต้องไปหาหมอแล้วนะ…”

“ไม่ต้องเลยนะไอ้หมีหน้าบูด!  ยังไงก็ไม่ไป บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไร ”

“ไม่เป็นอะไรบ้าอะไรล่ะ … ดื้อจริง ๆ ดื้อที่สุดในโลกเลยคนอะไรก็ไม่รู้”

“ออกไปห่าง ๆ เลยไอ้หมีน่ารำคาญ บ่นอยู่ได้ ”  คีย์ผลักคนที่กางร่มสีฟ้าคันใหญ่อยู่ข้าง ๆ ออกห่างในทันที  ทั้งสองไม่ได้อยู่ในร่มคันเดียวกัน มินโฮบอกใครต่อใครว่าไม่อยากให้หัวของคีย์ต้องถูกละอองฝนตอนที่เบียดกันอยู่ในร่มคันเดียวกัน เลยตัดปัญหาด้วยการพกร่มคันใหญ่สองคัน  แต่มีแค่คีย์เท่านั้นที่รู้…ว่าเขาเองนี่แหละ ที่เป็นคนบังคับให้มินโฮพกร่มสองคัน

มินโฮชอบกางร่มให้เขา … ชอบที่จะเบียดตัวเองอยู่ในร่มสีฟ้าคันเดียวกัน … ชอบที่จะคอยโอบไหล่เขาเข้ามา และเอียงร่มไปอีกด้าน เพื่อไม่ให้ฝนตกลงมาต้องร่างของคีย์    โดยปล่อยให้ตัวเองเปียกไปเกินครึ่งตัวอย่างไม่สนใจ  คีย์ยื่นคำขาดให้มินโฮพกร่มสองคัน .. เพราะรู้ดีว่า ต่อให้อยู่ในร่มคันเดียวกันก็ตาม  มินโฮก็ไม่เคยยอมให้เขาเปียกเลยแม้แต่นิดเดียว

เป็นครั้งแรก  และเรื่องแรกเลยก็ว่าได้…ที่คีย์คิดว่าได้ทำอะไรเพื่อมินโฮบ้าง

“ดื้ออะ … อยู่ใกล้ ๆ หน่อยก็ไม่ได้ ”

“ไปเลย ออกไปไกล ๆ เลยไอ้หมีกินผึ้ง บ่นงึมงำตลอด น่ารำคาญ” เท้าเล็ก ๆ เขี่ยเท้าใหญ่ ๆ และขายาว ๆ ที่พยายามยื่นเข้ามาใกล้เขาออกไปในรัศมีของร่ม

คีย์บอกว่าลืมร่มคันเก่าไว้ที่ไหนซักแห่ง …  มินโฮเลยต้องซื้อร่มคันใหม่มาให้เขาในที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ยังคงเป็นร่มสีฟ้าขนาดเดิม  แบบเดิม … รายละเอียดเหมือนเดิมไม่ต่างจากคันที่หายไป

ร่มสีฟ้า …  สีเหมือนฟ้าในยามที่ไม่มีพายุฝน

สัญญาณไฟสำหรับคนเดินเปลี่ยนเป็นสีเขียว   คีย์กระชับร่มแน่น  เตรียมก้าวข้ามทางม้าลาย  ก่อนที่มือหนา ๆ จะเอื้อมมาคว้ามืออีกข้างเขาไปกุมไว้แน่น เตรียมพาเขาข้ามถนน

หยดน้ำจากท่อนแขนที่เปียกชุ่มไหลลงมารวมกันอยู่ที่มือของคีย์  ปลายนิ้วที่ประสานกันโอบอุ้ม และเกาะเกี่ยวมือของคีย์ไว้แน่น  ฝนเย็นฉ่ำ  ไม่ทำให้อุ้งมืออุ่น ๆ ของมินโฮเย็นลงเลยแม้แต่นิดเดียว

มือของมินโฮอุ่น…  ขณะที่มือคีย์เย็น   เวลาจับกันทีไร … ราวกับว่ามินโฮจะถ่ายทอดอุ่นไอมาทำให้คียอุ่นไปด้วย

เป็นความอบอุ่นที่แตกต่าง…  ต่างกันอยู่ไม่น้อย…

กับมือของใครอีกคนที่เกาะกุมมือเขาไว้เมื่อหลายวันที่ผ่านมา

            ‘ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ

‘เอ๊ะ’ เขาตกใจ  … ไม่แน่ใจว่า ‘ไม่เปลี่ยน’ ในความหมายของซึงฮยอนนั้นหมายถึงอะไร

แอบร้อนไปถึงข้างในใจ… ที่มีแผลเป็นเก่าฝังลึกอยู่ และหวั่นเกรงว่าจะมีใครเผลอไปสะกิดมัน

‘ตอนแรกคีย์คิดว่าพี่จะจำคีย์ไม่ได้ซะอีก… ‘  หนุ่มรุ่นพี่แก้

“ทำไมคิดว่าผมจะจำไม่ได้ล่ะครับ…” คีย์ทวนคำถาม  “ผมต่างหากที่ต้องตกใจ … ไม่คิดว่าพี่ยังจำผมได้ ”

คีย์ในตอนนั้น  เป็นเพียงแค่รุ่นน้องธรรมดาในชมรมอ่านหนังสือ … เด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่โดดเด่นอะไรเลย  คอยเฝ้ามองรุ่นพี่ประธานชมรมอยู่เงียบ ๆ  เด็กชมรมเองก็มีอยู่เกือบยี่สิบคน คีย์จึงไม่แม้แต่จะคิดว่าพี่ซึงฮยอนจะมองเห็นและจดจำเขาได้   คีย์จึงเก็บกักความรู้สึกหนึ่งเอาไว้ในใจเนิ่นนาน ด้วยความกลัว…

เพราะคิดว่าหากเขาพูดมันออกไป… คงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยืนอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว

“ก็… คนที่ยืนยันเสียงแข็งบอกให้พี่เรียกว่าคีย์  แถมยังให้เหตุผลว่าที่โรงเรียนมีนักเรียนชื่อคิบอมตั้งสิบคน ก็มีอยู่แค่คนเดียวนี่นา… พี่จำได้ไม่ลืมเลยล่ะ ”

คำอธิบายทำให้คีย์ยิ้มกว้าง  หัวใจเต้นแรงขึ้น

‘แต่ยังไง คีย์ก็คงไม่ตกใจมากไปกว่าที่พี่ตกใจที่ได้เจอคีย์อีกครั้งหรอก’  ชายหนุ่มบอกนิ่ง ๆ  จนคีย์เอียงคอด้วยความประหลาดใจ

“ผม… ดูลึกลับขนาดเจอแล้วต้องตกใจเลยเหรอครับ”

“อือ… ลึกลับสิ  ตั้งแต่จบมา… พี่ก็ไม่เคยเจอคีย์อีกเลย… อย่างงานศิษย์เก่า คีย์ก็ไม่กลับไปเลย… ถามเพื่อน ๆ คีย์…ก็ไม่มีใครยอมบอกพี่สักคน“

คำอธิบายนั้นทำให้คีย์รู้สึกวูบโหวงอยู่ในช่องท้อง

“เหมือนกับว่า…คีย์ไม่อยากให้พี่รู้”

หัวใจของคีย์เต้นไม่เป็นจังหวะนัก …  เพราะรู้ดีว่าเหตุผลของเรื่องที่รุ่นพี่ซึงฮยอนพูดถึงคืออะไร…

ความรักที่ไม่สมหวัง… ยากนะ ที่จะเผชิญหน้ากับมันได้อย่างหน้าชื่นตาบาน

โดยเฉพาะความรักที่ฝังใจไม่เคยลืม

‘พี่…  อยากเจอผมเหรอครับ’  คีย์ถามอย่างไม่มั่นใจนัก ….หากรอยยิ้มของอีกฝ่ายยืนยันคำพูดของตัวเองได้ดีจนหัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา

‘อือ… อยากเจอสิ  อยากเจอมาตลอดเลย’

‘ผมดีใจจัง ‘

‘พี่ก็ดีใจ ที่คีย์ยังไม่ลืมพี่เหมือนกัน’

เหมือนกัน …   ทั้ง ๆ เป็นแค่คำพูดธรรมดา ๆ  แต่กลับทำให้คีย์รู้สึกดีใจจริง ๆ

‘เราต้องข้ามไปฝั่งโน้นนะ…  เปียกฝนได้ใช่ไหม?’

คำถามนั้นทำให้คีย์สะดุ้ง ….  ฝนทำให้เขาประสาทหลอนยิ่งกว่าเรื่องอื่น ๆ  เพราะมีใครบางคนชอบพูดกรอกหูเรื่องนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ

            ‘ห้ามโดนฝนเด็ดขาด  ดื้อหัวเปียกทีไรเป็นไข้ทุกที ’

             แต่โอกาสแบบนี้… ใครจะสนล่ะ

‘ได้ครับ…ไม่เป็นอะไร’  คีย์เลือกที่จะปฏิเสธ

พร้อมกันนั้น รอยยิ้ม และมือเย็น ๆ ก็เอื้อมมาคว้าเขาไป

มือที่เย็นกว่าอากาศรอบตัว  เย็นกว่ามือของเขาด้วยซ้ำ…  จับจูงหลวม ๆ เพื่อพาคีย์วิ่งผ่านหยาดฝนชุ่มฉ่ำ …

“ดื้อ!!!” คีย์สะดุ้งสุดตัวกับเสียงทุ้มห้าวของคนที่อยู่ตรงหน้า  มือเล็กถูกเขย่าแรงจนรู้สึกตัว “เหม่ออะไรอยู่ ข้ามเร็ว เดี๋ยวไฟแดงแล้วข้ามไม่ได้นะ”

“ไอ้บ้า.. พูดเสียงดังทำไม  ตกใจหมด”เขาบ่นงึมงำ  หน้างอ  แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจนัก  เพราะมินโฮกระตุกมือแรง  ก่อนลากกึ่งจูบพาข้ามถนนแข่งสัญญาณไฟจราจร

“ข้ามเร็ว ”

เป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ฝ่ามือของมินโฮอุ่น… ร้อนผ่าว  มือแกร่งกระชับนิ้วของเขาแน่นหนา แน่นเสียจนทำให้คีย์เจ็บในบางครั้ง

            “จับไม่แน่นเดี๋ยวหาย”  ทุกครั้งที่ท้วง  มินโฮต้องหันมาบอกหน้าตายแบบนั้น จนคีย์ได้แต่ขำ…

ที่ขำ  เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจ  ว่ามินโฮพูดด้วยความจริงจัง และรักเขามากแค่ไหน

 

 

คีย์วางแก้วกาแฟลง พร้อมหลับตาลง ขณะรับรู้ถึงกาแฟขม ๆ อุ่น ๆ ที่กำลังไหลลงคอ คาเฟอีนที่จะค่อย ๆ ซึมซาบเข้าไปในกระแสเลือด…  รสชาติที่คีย์โหยหา  แต่ไม่มีโอกาสสัมผัสมานานแล้ว  กาแฟ…ที่มินโฮห้ามนักห้ามหนาว่าห้ามแตะต้องอีก

เขาติดกาแฟ…เสพติดความรู้สึกที่มีคาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดจนกลายเป็นผลเสีย   ไมเกรนเข้ามาถามหาเขาทุกครั้งที่ไม่ได้แตะต้องมัน   จนมินโฮต้องเข้ามาหักดิบด้วยตัวเอง   หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนอีกเลย

“อร่อยขนาดนั้นเลย?”  คีย์เพิ่งรู้ตัวว่าจมดิ่งกับรสชาติกาแฟจนคนตรงหน้ายิ้มกว้าง และถามด้วยเสียงปนหัวเราะ    เจ้าของร่างบอบบางเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับจับแก้มที่ร้อน ๆ และตอบเสียงเบา

“ก็…. พี่ซึงฮยอนอุตส่าห์ลงมือเองเลยนี่ครับ สมกับเป็นเจ้าของร้านจริง ๆ   สุดยอด!” คีย์ชม  ก่อนยกนิ้วโป้งให้และยิ้มเขิน ๆ

คนตัวเล็กกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้านกาแฟขนาดเล็ก ตกแต่งเรียบ ๆ  แต่ดูกว้างขวาง และไม่มีส่วนใดเกะกะสายตา  ดูเป็นผู้ใหญ่ไม่ต่างจากเจ้าของร้านเลยแม้แต่นิดเดียว หนุ่มรุ่นพี่จัดร้านตามใจชอบ  ของตกแต่งทุกอย่างมาจากรสนิยมของตัวเอง  มุมที่คีย์ชอบที่สุดคงเป็นชั้นหนังสือสารพัดที่วางหนังสือแทบทุกประเภทที่ซึงฮยอนชอบ  ทำให้คีย์รู้สึกเหมือนเข้ามานั่งในห้องสมุดเงียบ ๆ  จิบกาแฟอ่านหนังสือ และฟังเสียงโมบายกระดิ่งดังทุกครั้งที่มีสายลมพัดผ่าน  รอบ ๆ ร้านคือสวนสีเขียว มองจากข้างในร้านดูสบายตา

“ผมบอกแล้วใช่ไหม ว่าชอบร้านนี้จังเลย”

“บอกแล้ว… แต่บอกอีกหลาย ๆ ครั้งพี่ก็ไม่ว่าหรอก ” ซึงฮยอนบอกพร้อมยิ้มกว้างขวางเหมือนเคย  ตาของชายหนุ่มระยิบระยับและเต็มไปด้วยประกายสดใส   “รู้ไหมว่าตั้งแต่พาคีย์มา ลูกค้าเข้าร้านพี่เพียบเลย”

“พี่พูดเหมือนคีย์เป็นนางกวัก”

“ธิดานำโชคมากกว่า”

“พูดอย่างนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นธิดาไร่กาแฟอะไรแบบนั้นมากกว่า” คีย์แย้งพร้อมกับหัวเราะ จนซึงฮยอนหัวเราะตาม

“ฮ่า ๆ.. ”

“แต่คีย์ว่า ร้านนี้ทำเลดีนะครับ …เครื่องดื่มก็อร่อยทุกอย่างด้วย  ถ้าเป็นคีย์เอง คีย์ก็ยอมเสียเงินเข้าร้านทุกวันเหมือนกัน”  คีย์พูดด้วยความจริงใจ  แม้จะมีบางอย่างที่เขาไม่ถูกใจนัก อย่างรสชาติของเค้กหลายชนิด … แต่คีย์เลือกที่จะไม่พูดออกไป  เพราะเขาถือว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินเค้ก

เค้กอร่อยถูกใจของคีย์รออยู่ที่ห้องทุกวันอยู่แล้ว…ไม่จำเป็นต้องหาจากที่อื่น ยกเว้นวันที่เบื่อเสียงหมีขี้บ่นของคนทำ

“อันที่จริง …พี่ก็อยากให้คีย์เข้าร้านทุกวันเหมือนกันนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบา  คล้ายพูดกับตัวเอง จนคีย์เลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะฟังไม่ถนัด

“คะ..ครับ”

“เปล่า … พี่จะบอกว่าถ้าเป็นคีย์ไม่ต้องเสียเงินเข้าร้านเลย  ฟรีหมดทุกอย่าง… จริง ๆ นะ”  เจ้าของร้านพูดอย่างใจป้ำ แต่คีย์กลับส่ายหน้า

“อย่าเลยครับ  เดี๋ยวพี่ขาดทุนแย่ พี่เลี้ยงคีย์จะครบอาทิตย์แล้วนะครับ  ร่มของคีย์ไม่ได้แพงขนาดนั้นซะหน่อย” คีย์พูดด้วยความรู้สึกผิด … ทั้งกับตัวเอง และทุก ๆ คน   แม้ว่าซึงฮยอนเป็นฝ่ายเสนอตัวที่จะเลี้ยงเขาเอง  แต่คีย์ก็เลือกที่จะไม่ละทิ้งโอกาสนี้ด้วยการเข้ามาตามคำชวนนั้นอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่มีโอกาส

โชคดีที่ระยะหลังมานี้มินโฮยุ่งเรื่องโรงเรียนสอนทำอาหารจนเขามีเวลาอย่างน้อย ๆ ก็วันละสามชั่วโมง…  ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสแบบนี้

แม้จะรู้สึกกระดากใจอยู่บ้างก็ตามที่ต้องใช้คำนี้ …  โอกาส…  โอกาสในการทำผิด?

“ก็พี่อยากไถ่โทษที่ทำร่มคีย์หายไปนี่นา …  คีย์อุตส่าห์ให้พี่ยืมแท้ ๆ แต่พี่กลับดูแลไม่ได้”  ซึงฮยอนยิ้มเจื่อน เมื่อพูดถึงร่มคันเก่าที่เขาให้ยืม   และพบว่าหายไปในวันที่ตั้งใจจะนำมาคืน   จนชายหนุ่มต้องแสดงความรู้สึกผิดด้วยการเลี้ยงกาแฟเขา

“อย่าคิดมากเลยครับ  ร่มหายไปคันเดียวผมไม่เป็นอะไรหรอก  แถมตอนนี้ผมก็มีร่มคันใหม่แล้วด้วย”  คีย์ยิ้มกว้าง และชี้ไปที่ร่มสีฟ้าคันใหม่ที่อยู่ข้างตัว

“ไม่หรอก…  ไมได้หรอก  พี่ทำหายเอง ดังนั้นพี่ก็ต้องชดใช้  อีกอย่าง.. พี่ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร  กาแฟแก้วละไม่กี่วอน    อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะ  พี่เลี้ยงเอง”

“ผมกินจุนะครับ” คีย์แย้ง

            “ตัวแค่นี้คงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งพี่ร่วงหรอก

คีย์หัวเราะไปพร้อมกับชายหนุ่ม … บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์ของคาเฟอีนก็ได้ที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น   ช่องท้องของเขาวูบวาบทุกครั้งที่อีกฝ่ายยิ้มให้  จนทำให้ต้องหวนกลับไปคิดถึงเมื่อหลายปีก่อน

“เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ  เผอิญสั่งเบเกอรี่ลอตใหม่ไว้ ต้องไปเช็คก่อน  ถ้าคีย์อยากได้อะไรสั่งเด็กในร้านได้เลย  พี่บอกทุกคนเอาไว้แล้วว่าพิเศษสำหรับคีย์”

“พี่ซึงฮยอน… อย่างนี้ทุกคนก็รู้ว่าผมมากินฟรีสิครับ” คีย์ช็อค  มิน่าล่ะ… พนักงานในร้านถึงได้มองเขาแปลก ๆ ทุกครั้งที่ก้าวเข้ามาในร้าน … แถมยังชอบซุบซิบแปลก ๆ ทุกครั้งที่รุ่นพี่เดินเข้ามาคุยกับเขา

ทว่า ซึงฮยอนกลับไม่สนใจนัก  ชายหนุ่มขยี้เขาเบา ๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหวาน

“ก็พี่อยากให้ทุกคนรู้นี่นา….”

“พี่ซึงฮยอนอา…”

คีย์กัดริมฝีปาก และทำหน้าเบ้ ขณะมองตามแผ่นหลังกว้างของซึงฮยอนไปและลอบยิ้มกับตัวเอง

ก็เขารักรุ่นพี่ซึงฮยอนมาตั้งนานแล้วนี่นา … จะผิดอะไรล่ะ  หากเขาจะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชายหนุ่ม

รักครั้งแรกนี่นา… มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกดีเวลาได้มีโอกาสดี ๆ แบบนี้กับคนที่เป็นรักครั้งแรก

ใช่ …เขาไม่ได้ทำผิด…  ไม่ได้ผิดอะไรแม้แต่น้อย

ไม่สิ…ผิด?   ผิดหรือเปล่าคีย์เองก็ยังไม่แน่ใจ … อาจดูไม่ยุติธรรมนักหากมินโฮรู้ว่าเขากำลังทำอะไร … แต่คีย์ก็คิดว่าเขามีสิทธิที่จะพบปะใครก็ตามที่เขาต้องการได้เช่นกัน

เขาไม่ได้ทำผิดศีลธรรม … ไม่ได้พบปะซึงฮยอนในฐานะอื่น  คีย์พบกับซึงฮยอนในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง  ก็เท่านั้น…

เท่านั้น… เพียงเท่านั้น

คีย์แย้งความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นด้วยความคิดนี้… แต่จนแล้วจนรอดที่ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าทำไมหาเหตุผลมาโต้แย้งการกระทำของตัวเองทุกครั้ง

ความสัมพันธ์ของเขากับมินโฮยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย คีย์ยังรู้สึกดีกับมินโฮเหมือนเดิม … ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  แต่บ่อยครั้งที่คีย์รู้สึกผิดเหมือนตอนนี้… จนต้องถามตัวเองว่ากำลังทำอะไร

และกำลังหวังอะไรอยู่…

“มีความสุขจริง ๆ เลยนะมึง….”

คีย์สะดุ้งเฮือก ความคิดที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวกระจัดกระจายไปในทันทีที่ได้ยินเสียงกวน ๆ คุ้นหู  ยิ่งเงยหน้าขึ้นมาพบกับร่างหนาของเพื่อนก็ยิ่งตกใจ

“จงฮยอน”

“ทำหน้าเหมือนเห็นผี …”  เสียงทุ้มลึกเอ่ย  ก่อนที่เจ้าตัวจะถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับวางกาแฟร้อน ๆ ที่พร่องไปแค่ครึ่งถ้วยลงตรงหน้า  “นั่งด้วยนะ”

“เออ… นั่งสิ”  คีย์กระพริบตาปริบ ๆ  …  อยู่ ๆ ก็รู้สึกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมากดทับอยู่บนอก จนทำให้หายใจลำบากกว่าที่เคย  “บังเอิญจริง ๆ นะ”

“อาทิตย์ก่อนกูเจอพี่ซึงฮยอนไง เค้าบอกว่าเพิ่งเปิดร้าน …แถมบอกให้กูมากินฟรี กูเลยมาไง  ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอมึงอยู่ที่นี่ด้วย” จงฮยอนเอ่ยยิ้ม ๆ  ทว่าคีย์รู้สึกได้ว่าตาคู่นั้นกลับไม่ได้ยิ้มเหมือนปาก  ริมฝีปากของคีย์เม้มสนิท  ก่อนจะตอบไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก

“เออ… ก็… กูก็เหมือนมึงไง  พี่ซึงฮยอนก็บอกให้กูมากินฟรีด้วยเหมือนกัน”

“เหรอ” เจ้าของร่างหนาพยักหน้า จงฮยอนเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักเขามาตั้งแต่ไฮสคูล  จึงไม่แปลกที่จะรู้จักซึงฮยอนด้วย   หนุ่มรุ่นพี่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยเรียน  … “ตอนแรกกูก็นึกว่ามึงยังไม่เจอพี่เค้า เห็นพี่ซึงฮยอนถามหามึงอยู่… เจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกกูเลย”

“กูก็…  เพิ่งเจอพี่เค้านี่แหละ ”

“โกหกไม่ดีนะเพื่อน…” จงฮยอนหัวเราะเบา  ก่อนยกกาแฟขึ้นจิบ  คีย์หน้าตึงทันทีที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย  “มึงได้บอกมินโฮเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”

“บอกทำไม … มินโฮไม่รู้จักพี่ซึงฮยอน”  คีย์กระแทกเสียง …มือที่อยู่บนตักกำแน่น

“ขอโทษ.. กูเผลอบอกมันไปแล้วว่าพี่เค้าเป็นคนที่มึงเคยชอบ”

“จงฮยอน… มึง…” หน้าสวยมองคนตรงข้ามด้วยความตกใจ  “ว่าไงนะ…”

“ เออ กูผิด…  กูขอโทษ  กูนึกว่ามึงจะบอกมันแล้ว….”

“มินโฮไม่เห็นจำเป็นต้องรู้ว่ากูรักใคร”  คีย์พูดแทรกทันที ….ความโกรธพุ่งเข้ามาแทนที่ทุกความคิดจนทำให้คีย์แทบไร้สติ  ….

“กูว่าจำเป็นนะ… อย่างน้อยมันจะได้รู้ว่าที่มึงยังไม่ยอมรักมันซะทีเพราะว่ามึงยังรักใครอยู่”

“แล้วไง…” คีย์กระแทกเสียง  “กูไม่ได้ทำอะไรผิด  กูก็แค่เจอพี่เค้า…กูก็แค่…  ”

“แค่?…”  ร่างบอบบบางรู้สึกเหมือนจงฮยอนพยายามยั่วโมโห…  น้ำเสียงและสีหน้าของคนที่เป็นเพื่อนทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว …

“กูจะกลับล่ะ … ” มือเรียวเอื้อมไปคว้ากระเป๋าและร่มด้วยความรวดเร็ว  หากน้ำเสียงจริงจังที่อีกฝ่ายพูดกลับทำให้เขาชะงัก  …

“มึงไม่สงสารมินโฮเหรอ”

“กูจะบอกอีกครั้งว่ากูไม่ได้ทำอะไรผิด!!!” คีย์กระซิบเสียงลอดไรฟันพร้อมกำหมัดแน่น  สั่นระริกไปทั้งตัว “กูก็แค่อยากทำเหมือนที่กูไม่เคยมีโอกาสได้ทำ… อยากใกล้ชิดเค้าเหมือนที่กูไม่เคยมีโอกาส  กูทำแค่นี้กูผิดเหรอ”

“คีย์….”

“กูรักเค้ามาตลอด…แต่กูไม่มีโอกาส  วันนี้กูได้โอกาส …. กูก็อยากทำในสิ่งที่กูไม่เคยได้ทำ  แต่กูไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น… มึงคิดว่าที่กูทำมันคือความผิดเหรอ”

“แล้วที่นอกใจมินโฮมึงคิดว่ามันไม่ผิดเหรอ …”

บทสนทนาของทั้งคู่เป็นไปด้วยความแผ่วเบา … หากทุกคำกลับเชือดเฉือนและชัดเจนในความรู้สึกราวกับกำลังตะโกนใส่กัน   คีย์กัดริมฝีปากตัวเองจนแทบห้อเลือด

“ถ้ามึงพูดแบบนี้…กูจะไม่พูดกับมึงอีก   กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้นอกใจ”

“แล้วเค้าเรียกว่าอะไร  กูเห็นมึงมาที่ร้านนี่เป็นอาทิตย์แล้ว เด็กที่ร้านรู้จักมึงทุกคน… แถมทุกคนทำเหมือนมึงเป็นแฟนพี่ซึงฮยอน… มึงจะให้กูคิดยังไง”

“กูไม่ได้อะไรนะ…  แต่กูเป็นเพื่อนมึงกับมินโฮ”

“มึงก็รู้ว่ามินโฮรักมึง”

            “แต่กูรักเค้ามาก่อนมินโฮ…”

จงฮยอนนิ่งไปในทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น…

“กูไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ” เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าคำ  ๆ  นี้จะหลุดออกมาจากปากคีย์

“เพราะงั้น ….มึงก็เลยตอบแทนความรักของมินโฮด้วยวิธีนี้เหรอ”

“…..”

จงฮยอนกระแทกแก้วกาแฟลงบนจานรองเสียงดัง  ชายหนุ่มโกรธจัดจนไม่อยากรับฟังอะไรอีก…

แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนของทั้งสองคน  …แต่เขาก็ยอมรับว่าสนิทกับมินโฮมากกว่า  สิ่งที่ได้รับรู้มาตลอดเวลาที่อยู่กับเพื่อนตัวสูงทำให้เขาเลือกเข้าข้างมินโฮมากกว่า

โกรธแทน… ผิดหวังแทน… และเจ็บแทน

“พูดจริง ๆ   กูสงสารมินโฮว่ะ”

คีย์นั่งนิ่ง … ก้อนอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาจุกอยู่ที่คอ    … ฤทธิ์ของคาเฟอีนกำลังเล่นงานเขาอีกครั้งด้วยการกระตุ้นให้หัวใจของเขาเต้นรัวจนทรมาน    ไมเกรนที่คืบคลานเข้ามาเล่นงานก็ราวกับจะมาซ้ำเติมเมื่อรู้ว่าเขากำลังอ่อนแอมากแค่ไหน

“เชี่ย จงฮยอน” เขาสบถ … ถึงอยากจะร้องไห้  แต่กลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวออกมา “มึงคิดว่ากูอยากทำแบบนี้หรือไงเล่า”

คีย์ซบหน้าลงกับโต๊ะ …

ประโยคหนึ่งในหนังที่ไปดูเมื่ออาทิตย์ก่อนดังลั่นอยู่ในหัว

            ‘รักครั้งแรก… แฟนคนแรก’

“กูก็แค่อยากทำให้กูมั่นใจ… ว่ากูเลือกไม่ผิดคน ”

ถึงจะดูเห็นแก่ตัว… แต่ก็ภาวนาขอให้จงฮยอนไม่พูดอะไรไปจนกว่าเขาจะหาทางเลือกให้ตัวเองได้

ตึ๊ง!

เสียงเตือนจากโทรศัพท์เรียกสติของคีย์อีกครั้ง …นิ้วเรียวที่สั่นระริกเอื้อมไปเลื่อนหามันอย่างเชื่องช้า

‘กำลังจะกลับ …มีเค้กบลูเบอร์รี่ไปฝากด้วย..’

ตึ้ง!

คีย์ซบหน้าลงอีกครั้ง …หลังจากอ่านข้อความที่สอง

แม้มินโฮจะลงท้ายด้วยประโยคทำนองนี้ทุกครั้งก็ตาม …. แต่กลับทำให้น้ำตาระลอกใหญ่ไหลออกมาจากดวงตาที่กำลังบอบบช้ำทันทีที่อ่านจบ

‘รักดื้อนะ    รักมาก  J’

ร่างสูงใหญ่เดินไปเปิดประตู  และพบกับร่างเล็กที่เปียกโชกไปทั้งตัว  ใบหน้าซีดเซียวทำให้มินโฮถอนหายใจเบา …  และขยับไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนักมาม้วนตัวคนที่เพิ่งตากฝนมา  ก่อนจูงเข้ามาในห้องและปิดประตู

“เอาร่มไปทิ้งที่ไหนอีกแล้วล่ะ…เด็กหนีเที่ยว  ดูสิเปียกหมดเลย”

มินโฮไม่ได้ดุเหมือนทุกครั้ง  เสียงทุ้มต่ำพูดเหมือนกำลังปลอบเด็กขี้แย .. มือหนาบรรจงเช็ดผมเปียก ๆ ให้อย่างนุ่มนวล

“ไม่รู้… ว่ามันไปอยู่ที่ไหน”

“ดื้อนะดื้อ… เดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก…ป่วยอีกรอบจับเข้าโรงพยาบาลเลยนะ”  มินโฮขู่ทั้งที่ยังคงยิ้ม    หน้าสวยเงยขึ้นมอง ก่อนซุกตัวเข้ากับอกกว้าง   คีย์ซบหน้าลงบนมัดกล้ามเนื้อแน่น หลับตาพริ้มและสูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยเข้าไปจนเต็มปอด  ไอร้อนที่แสนอบอุ่นห่อล้อมร่างเล็กเอาไว้  มือเล็กเรียวยึดชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น …

“หนาว….”

“ยังไม่ได้ดุเลยนะ…อ้อนอีกแล้ว…”

“อือ… ”

“เหมียวเปียกน้ำ”

            เปรี้ยง!!!

โดยไม่ทันตั้งตัวเสียงดังลั่นปานฟ้าถล่มก็ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว   คีย์หวีดร้อง  และกระโดดกอดคอร่างสูงใหญ่ไว้เพื่อหาที่พึ่ง… พริบตาเดียวกันนั้น  รอบกายก็ถูกล้อมด้วยความมืดมิด

พรึ่บ!!

“ฮื้อ… ”

“ไม่เป็นไรนะ… ไม่เป็นอะไร”

คีย์เกร็งไปทั้งตัวด้วยความตกใจ  หากอ้อมกอดที่กระชับแน่นกว่าเดิมค่อยทำให้เขาคลายตัวลง    ลมหายใจผ่าวร้อนที่รินรดอยู่เหนือซอกคอทำให้คีย์เงยหน้าขึ้น

“มินโฮ… ”

คีย์มองโครงหน้าเด่นชัดภายใต้เงาสลัวด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ … มือเรียวขยับขึ้นไปประคองดวงหน้าที่สูงกว่า  ก่อนเขย่งขึ้นจูบหนักที่ปลายคางสาก ๆ  และลากขึ้นไปแนบริมฝีปากเย็นชืดกับแก้มอุ่น

“เหมียว… ”

มินโฮหัวเราะเบากับเสียงของลูกแมวน้อยในอ้อมกอด …ท่อนแขนแข็งแรงตะหวัดรอบเอวคอด  พร้อมกับดึงผ้าขนหนูออกในทันที  มือหนาเคลื่อนไปบนร่างกายเปียกชื้นและแทรกเข้าไปควานหาผิวกายเนียนนุ่มที่เย็นจัดก่อนกระชากทุกการขวางกั้นออกในเวลาไม่นาน   หุ่นผอมบางไร้การปกคลุมจากทุกสิ่งโดดเด่นอยู่ในความมืดมิด  หากคีย์รับรู้ว่ามินโฮกำลังกวาดสายตามองทั่วร่างเขา  ร่างเล็กเบียดกายแนบชิดอกกว้าง… ก่อนเลื่อนมือไปปลดตะขอกางแกงให้อีกฝ่ายอย่างไม่ต้องเรียกร้อง

“อะ… อื้อ… ”

เสียงทุ้มครางหวิว … เมื่อริมฝีปากนุ่มนิ่มลากผ่านซอกคอแข็งแกร่ง พลางประทับร่องรอยบางเบาไว้  มือน้อยช่วยดึงเสื้อยืดตัวใหญ่ออกให้พ้นกาย   และผลักร่างสูงใหญ่ลงบนโซฟา …  เสียงหอบครางประสานกันปลุกเร้าร่างกายให้ตื่นขึ้นโดยไม่ต้องวุ่นวาย … คีย์แนบสะโพกเปลือยเปล่าลงบนท่อนขาใหญ่อันร้อนรุ่ม พร้อม ๆ กับปล่อยให้ริมฝีปากถูกครอบครองอย่างหนักหน่วง  เรียวลิ้นแทรกสอดและรุกเร้าแทบจะทำให้เขาขาดใจ

“มิ… มินโฮ… “

คีย์ปล่อยทุกความคิด และเรื่องราวหนักหัวไปพร้อม ๆ กับร่างกาย  ลมหายใจและกล้ามเนื้อทุกมัดตกเป็นของมินโฮ… ปล่อยให้ร่างกายถูกขับเคลื่อนด้วยอุ่นไอและร่างกายใหญ่โต

ร่างกายของคีย์…. เป็นของมินโฮ

“อา. … ”

ใช่แล้ว…

“ดื้อ… ”

ทุกสิ่งทุกอย่าง…

มินโฮจูบทั่วทุกพื้นที่ที่ทำได้ …ผิวเย็นเฉียบสว่างไสวอยู่ภายใต้เงามืด ทุกซอกทุกมุมบนร่างกายคีย์คือพื้นที่ของเขา…   ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าคีย์พร้อมจะให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ

ราวกับ.. ต้องการทดแทนบางสิ่งที่เขาไม่ได้รับ

“คีย์…”

โชคดีที่ไฟดับ

เพราะความมืด… ทำให้มินโฮซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่คงจะฉายชัดผ่านดวงตาอันปวดร้าวเอาไว้ได้อย่างดีตลอดทั้งคืน

“รัก… รัก”

            รู้ใช่ไหมว่ารักมากแค่ไหน….

มินโฮกระซิบแผ่วเบาอยู่ในอกเพียงลำพัง…

 

“โธ่โว้ย!! ”

จงฮยอนเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกโกรธ … โกรธจนแทบอยากจะเข้าไปเขย่าตัวคีย์แรง ๆ และถามแทนเพื่อนรักว่าทำไมถึงไม่คิดถึงมินโฮบ้าง…

“ไอ้คีย์เอ้ย!!!”

ชายหนุ่มเตะอากาศระบายอารมณ์ ก่อนหันกลับไปหวังจะสบถแรง ๆ ให้ส่งไปถึงคนที่ยังคงอยู่ในร้านกาแฟ  หากทันทีที่หันหลัง  จงฮยอนกลับรู้สึกราวกับถูกใครสักคนจับแช่แข็ง

“มะ….มินโฮ…. มึง….”

ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ห่างไปไม่เกินสามก้าว …ราวกับเพิ่งเดินตามเขามาติด ๆ  หน้าคมคร้ามประดับด้วยรอยยิ้ม

“ตกใจอะไรวะ…. ”

“เปล่า….กู…แค่” จงฮยอนมองรอยยิ้มนั้นและกำหมัดแน่น..  เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  “มึง….ทำไม อยู่ที่นี่”

“กูมาส่งเค้ก… บังเอิญน่ะ…”

จงฮยอนพูดอะไรไม่ออก   ใบหน้ายิ้มละไมของมันอาจจะหลอกคนอื่นได้ … แต่สำหรับเขานั้นมันไม่ใช่  เขามองมันอยู่นาน   จนมินโฮเองก็คงรับรู้ถึงสีหน้าที่ผิดปกติของตัวเองอยู่ไม่น้อย    เห็นแล้วอยากจะคว้าคอเพื่อนสนิทมาแล้วบอกให้มันร้องไห้ไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

อย่างน้อย…ก็คงดีกว่าทำหน้าเหมือนกำลังจะตายอย่างตอนนี้

มินโฮยิ้มให้เขา… ทั้ง ๆ ที่ดวงตาของมันแดงก่ำจนดูเหมือนเส้นเลือดในนั้นกำลังจะปริแตก

“ช่วย…ทำเหมือนว่ามึงไม่เคยรู้เรื่องนี้ได้ไหม   จงฮยอน”

“ว่าไงนะ…”จงฮยอนทวนคำ

ไม่จำเป็นต้องถามเลยแม้แต่น้อยว่ามินโฮได้ยินหรือเปล่า  ถึงเขาและคีย์จะพูดกันเบาแค่ไหน   แต่สำหรับมินโฮคงชัดเจนอยู่ไม่น้อย

เขาอยากจะหัวเราะดัง ๆ  ต่อไปจงฮยอนจะไม่อารมณ์เสียเลยแม้แต่นิดเดียว  หากมินโฮพูดว่า ‘คนไม่มีแฟนไม่รู้หรอก’ อีกครั้ง

เพราะเขาไม่รู้เลยจริง ๆ ว่ามินโฮทนได้อย่างไร… ทนแบกรับความรู้สึกที่ถูกหักหลังแบบนี้

ทนได้ยังไงนะ…

            “ไม่ต้องพูดอะไรนะ ….กูไม่อยากให้คีย์เสียใจ” 

            “ว่าไงนะ”

จงฮยอนอึ้ง…  รับฟังประโยคนั้นด้วยความรู้สึกที่อยากจะชกหน้าคนพูดแทน….

ทั้ง ๆ ที่ตัวเองแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว … แต่กลับบอกว่าไม่อยากให้อีกคนเสียใจ

“กูไม่อยากเห็นคีย์เสียน้ำตาอีก…. ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”

ความรัก…

จงฮยอนไม่เข้าใจมันเลยจริง ๆ

“เป็นอะไรก็บอกกูแล้วกัน… กูอยู่ข้างมึงเสมอ” ในฐานะคนนอกที่บังเอิญไปรับรู้เหตุการณ์ด้วย… จงฮยอนก็รู้กาลเทศะมากพอว่าคงพูดอะไรไม่ได้

“มึงไม่ต้องห่วง…  กูทนได้” มันยังยิ้มให้เขาต่อไป  แม้จะเป็นยิ้มที่รับรู้ได้ว่าหัวใจของคนยิ้มกำลังทรมานมากแค่ไหนก็ตามที

“ไม่ต้องห่วง… ถ้า…มันไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว  ถ้า….”

มินโฮหยุดครู่หนึ่ง.. เหมือนกำลังกลืนก้อนบางอย่างลงคอ  และพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า… แผ่วหวิวปนสะอื้น

ถึงเขาจะไม่ชอบการกระทำของคีย์นักก็ตาม แต่จงฮยอนก็นึกภาวนา

อย่างน้อย…ขอให้คีย์กลับตัวก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

           

“ถ้าเป็นอย่างนั้น…กูก็จะไม่ฝืนมันอีกแล้ว..

ก่อนที่เพื่อนของเขา…จะตายทั้งเป็นมากไปกว่านี้

TBC.

9

The First III

 

 

ผมเคยคิดไม่ตก…

ว่าระหว่างสายฝนฉ่ำเย็นกับมือที่แสนอบอุ่น

ผมควรเลือกอะไร

“เป็นไรมึง…  ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ  ”

จงฮยอนเอ่ยขณะเคี้ยวข้าวตุ่ย ๆ เต็มปาก เพื่อนตัวสูงที่นั่งตรงข้ามก็ดูหน้าตาสดชื่นแจ่มใส และอารมณ์ดีเสียจนเขาหมั่นไส้  ปกติมันก็หน้าหล่ออยู่แล้ว  แถมหุ่นก็เหมือนพระเอกหนัง  ขนาดที่ทุกคนในคณะรู้ว่ามินโฮเป็นเกย์และรักแฟนมากแค่ไหน แถมหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มและมนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นแย่ ก็ยังไม่วายมีสาว ๆ มาตามอ่อยอยู่เรื่อย ๆ

“คนไม่มีแฟนไม่รู้หรอก” มินโฮบอกเสียงเรียบ  ระหว่างตักสปาเกตตี้เข้าปากราวกับอร่อยเสียเต็มประดา  ตาคมเข้มของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับจนจงฮยอนอยากยกเท้าถีบให้เพื่อนรักตกเก้าอี้ลงไป

“อารมณ์ดีแบบนี้  คีย์มันยอมบอกรักมึงแล้วเหรอวะ” จงฮยอนถามตรงประเด็น …  เขารู้จักคีย์มาตั้งแต่ไฮสคูล เพราะมาจากโรงเรียนเดียวกัน  แต่ไม่ได้สนิทมากจนเล่นหัวได้เหมือนมินโฮ  ที่แม้จะรู้จักกันได้แค่สามปี  แต่ก็หยอกล้อหรือพูดคุยกันได้แทบทุกเรื่อง  จงฮยอนจึงรู้ปัญหาและจุดอ่อนของมินโฮดี

เขาไม่แน่ใจว่าคีย์ปากแข็ง หรือซื่อสัตย์กับตัวเองมากเกินไปกันแน่  ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา เขาจึงมักได้ยินเสียงคนตรงหน้าบ่นอุบเรื่องนี้อยู่ร่ำไป

“ไม่ใช่ แต่ก็เกือบแล้วว่ะ…”

เหมือนจงฮยอนที่คิดไว้… มินโฮหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด   แต่ก็ยังไม่วายรักษามาดนิ่ง ๆ ของตัวเองเอาไว้ได้   เสียงทุ้มนุ่มราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ของเพื่อนสนิททำให้จงฮยอนแทบจะหลุดขำออกมา

“แค่คีย์บอกกูว่าจะไม่ทำให้กูเสียใจ กูก็ดีใจแล้ว…”

“เออ… พ่อพระเอก  รักจริ๊ง หมั่นไส้ว่ะ”

“ก็กูรักของกู  มีปัญหาเหรอมึง”

สีหน้าของมินโฮจริงจังจนทำให้จงฮยอนหลุดขำ   เรื่องคีย์เป็นเรื่องเดียวที่จงฮยอนสามารถหยิบมายั่วพ่อหนุ่มมาดเข้มให้หลุดเก็กได้ทุกสถานการณ์

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า  กูออกจะเชื่อมึง…”    จงฮยอนส่ายหน้าอย่างปลง ๆ กับเพื่อน  และดีดนิ้วเปาะ ทันทีที่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้    “เออ… วันก่อนกูเจอพี่ซึงฮยอนด้วยว่ะมึง   บังเอิญโคตร  กูว่าจะบอกคีย์ตั้งหลายวันแล้ว ไม่ได้บอกซักที  ฝากมึงไปบอกมันได้ปะ”

“ซึงฮยอน? … ใครวะ” มินโฮเลิกคิ้ว

“ก็พี่ซึงฮยอนไงมึง ไม่รู้จักเหรอ ปาร์ค ซึงฮยอน  คนที่คีย์แอบชอบมาตั้งแต่อยู่ไฮสคูลไง”

จงฮยอนละสายตาขึ้นมาจากจานอาหารกลางวัน …  ดวงตากลมโตกระพริบปริบ ๆ มองสีหน้างุนงงของเพื่อนด้วยความงงไม่แพ้กัน

“คีย์มันไม่เล่าให้ฟังเหรอ”

“แฟนเหรอ?”  สีหน้าของมินโฮเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด  …  ชายหนุ่มวางช้อน ส้อมลง และนั่งตัวตรงรอฟังข้อมูลจากเขาด้วยท่าทางจริงจัง  จงฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า

“เปล่า…  แต่ก็เกือบใช่นะ  ตอนแรกกูยังคิดว่าสองคนนี้ต้องลงเอยกันแน่ ๆ  สุดท้ายกลับไม่ใช่วุ้ย อยู่ ๆ  พี่เค้าก็ควงใครก็ไม่รู้มาเฉยเลย  คีย์มันก็เลยแห้ว”

“อกหัก…เหรอ” มินโฮกลั้นลมหายใจ

“เออ…  มันเล็งของมันไว้ตั้งนานนี่หว่า   พอจะไปสารภาพ  ดันเอาแฟนมาเปิดตัว  อกหักไปตามระเบียบ  มึงต้องเห็นสภาพมันตอนอกหักใหม่ ๆ ตากฝนกระเซอะกระเซิง หนีเตลิดหายตัวไปตั้งเป็นวัน  กูยังกลัวเลยว่ามันจะคิดสั้นหรือเปล่า ”

มินโฮรู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังติดขัด… อะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนขึ้นมาขวางทางเดินหายใจของเขา … มือสองข้างกำแน่นอยู่บนตัก

ฝ่ายจงฮยอนเองก็พยายามขุดความทรงจำที่เกี่ยวกับคนในบทสนทนาออกมาให้มากที่สุด  … ถ้าไม่เจอรุ่นพี่คนนั้น  เขาก็คงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยเกิดเรื่องแบบนั้นด้วย  เพราะสมัยนั้นคีย์กับเขาแทบไม่ได้คุยกันมากเท่าตอนนี้  ที่รู้เรื่องก็เพราะเพื่อนสนิทของเขาเอามาเล่าให้ฟังอีกที

จงฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่าเขามัวแต่ครุ่นคิด…จนลืมมองสีหน้าและแววตาของเพื่อนคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

“เออ… แต่แปลกดีเนอะที่มันไม่ยอมบอกมึง” จงฮยอนตั้งข้อสงสัย

“คงไม่อยากให้กูคิดมากมากกว่าล่ะมั้ง” อีกฝ่ายบอกเสียงแห้ง  ดวงตาหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด

“โอ๊ย  ไหนบอกว่ายิ่งมึงคิดมาก คีย์มันยิ่งชอบไง  ” หนุ่มร่างเล็กยักคิ้วอย่างอารมณ์ดี … รู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อยที่ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่าอีกฝ่ายบ้าง “ตอนที่กูเจอเค้า  เค้าถามหาคีย์ด้วยล่ะ   พอกูบอกว่าคีย์ก็เรียนอยู่แถวนี้ ทำท่าตื่นเต้นใหญ่  กูล่ะคันปากยิบ ๆ อยากบอกว่าคีย์มันมีแฟนแล้ว”

“แล้วมึงไม่ได้บอกเหรอ”

“อ้าว…ไม่ใช่เรื่องของกูนี่  ถ้าคีย์เจอ เดี๋ยวมันก็บอกเองล่ะ  ” จงฮยอนยิ้มกว้าง สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังสนุกที่ได้แกล้งเขา แถมเอ่ยประโยคต่อไปได้อย่างหน้าตาเฉย “อีกอย่าง…บอกไปก็ไม่สนุกสิ”

“หุบปากไปเลยไอ้เตี้ย!!! ” มินโฮทุบโต๊ะแรง… มืออีกข้างส่งไปผลักหัวคนชอบเสี้ยมอย่างแรงจนจงฮยอนแทบหน้าทิ่ม

“ไอ้นี่ … เดี๋ยวเหอะมึง”

“มึงจะทำอะไรกู” คนตัวโตกว่ายักคิ้วกวนให้ ก่อนทำท่าหักนิ้วด้วยท่าทีเหนือกว่า  จงฮยอนฮึดฮัด แต่ก็กอดอกตัวเองและลอยหน้าลอยตาพูดต่อไปราวกับไม่กลัวว่าจะถูกอัดคาโรงอาหาร

“มึงคอยดูนะ เดี๋ยวกูจะหันไปเชียร์รุ่นพี่หน้าหยกคนนั้นซะเลย  นี่อย่าให้กูพูดนะ หน้านี่ยังกะนายแบบ สูงกว่ามึงอีก  แถมยิ้มที…โอ๊ย กูเป็นคีย์คงถลากลับไปหาทันทีเลย ”

“อยากสนับสนุนให้เพื่อนนอกใจแฟนก็ตามใจ  ไอ้เป็ดบาปหนัก ชาติหน้าได้เกิดเป็นเป็ดขาสั้นหน้าตาอุบาวท์กว่าเดิมแน่มึง” มินโฮพูดเสียงต่ำลอดไรฟัน….

“เออ ๆๆ มึงระวังเอาไว้อย่างนะ…  ไอ้นั่นมันเรียก‘คีย์’ เต็มปากเลยล่ะ”  จงฮยอนเสี้ยมต่อ   “มึงก็รู้ ว่าคีย์ยอมให้คนเรียกว่าคีย์แค่ไม่กี่คน  กว่ามันจะยอมให้กูเรียกได้นี่ก็ตอนมหาลัยแล้วนะโว้ย”

“นั่นมันมึงนี่หว่า… ”

“ถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้นนะมึง”  จงฮยอนแหกปากเป็นเสียงเพลงดังลั่น  จนฝ่ายถูกยั่วทนไม่ไหว  ร่างสูงใหญ่ทุบโต๊ะดังลั่น ก่อนลุกพรวดขึ้นทันที

“เก็บจานให้ด้วย! หมดอารมณ์กิน กูไปแล้ว”

“อ้าว ไอ้นี่!!!”  จงฮยอนเตรียมจะโวยลั่น หากสีหน้าราวกับจะบีบคอเขาได้ก็ทำให้จงฮยอนหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย   หากอะไรบางอย่างที่ยังค้างอยู่ในใจ จนทำให้หนุ่มร่างเล็กรู้สึกคันปากยิบ ๆ   “เออ ๆ เหมือนกูจะยังไม่ได้บอกอีกเรื่องนะ”

“กูไม่อยากฟัง” มินโฮคว้ากระเป๋า เตรียมหันหลังทันทีที่จงฮยอนทำท่าจะเปิดปาก

“แต่พี่ซึงฮยอนน่ะ….รักครั้งแรกของคีย์นะมึง” จงฮยอนหัวเราะหึหึประกอบคำพูด

มินโฮชะงักกึก

“ว่าไงมึง… อึ้งไปเลยอะดิ๊”

ประโยคนั้นทำให้ร่างสูงยืนนิ่งอยู่กับที่ แผ่นหลังกว้างยืดตรงดูมั่นคงก็จริง… หากมินโฮกลับรู้สึกถึงขาที่กำลังอ่อนลงของตัวเอง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อจงฮยอนเอ่ยประโยคถัดมา

“มึงไม่เคยได้ยินเหรอ…  รักครั้งแรกน่ะ ต่อให้มีแฟนอีกกี่คนยังไงก็ลืมไม่ได้หรอก ”

ชั่ววินาทีนั้น… มินโฮรู้สึกโกรธจงฮยอนจนพูดไม่ออก ก่อนที่จะตามมาด้วยความรู้สึกโกรธตัวเอง

“กูไม่….กูไม่รู้”

            ‘แฟนคนแรก…รักครั้งแรก

ถ้าเป็นหมี…หมีเลือกอะไร

ริมฝีปากของเขาสั่นระริก… มินโฮสั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความรู้สึกมากมายที่กำลังถาโถมเข้ามาทับเขาจนแทบยืนไม่ไหว

            “กูรู้แค่ว่า…คีย์เป็นคนเดียวที่กูรัก… “

มินโฮรู้ว่าจงฮยอนชอบยั่วอารมณ์ของเขาพอ ๆ กับคีย์…แต่เขาสามารถโต้กลับอีกฝ่ายไปได้อย่างเจ็บแสบได้ทุกครั้ง

“เฮ้ย…มึง.. โกรธเหรอ ”

มีเพียงวันนี้…ที่แค่จะก้าวเดิน  ก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก

“เปล่า…  กูไปล่ะ” มินโฮปฏิเสธ …

หากจะโกรธ…คงเป็นตัวเองมากกว่า

โกรธ….ที่ปล่อยให้ความไม่มั่นใจเข้ามาครอบงำหัวใจอีกครั้ง

‘ฉันเอง…ก็ไม่อยากให้นายเสียใจเหมือนกัน’

อย่างน้อย…เขาก็ควรเชื่อใจแฟนตัวเอง เชื่อสิ่งที่คีย์พูด

แม้ว่าวินาทีนั้น   มินโฮอยากจะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองแค่ไหนก็ตามที

กว่ามินโฮจะได้กลับที่พัก  ก็เลยเวลาที่ตั้งใจไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง   วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของเขา  ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นจึงไม่มีอะไรที่พอจะทำให้เขาสบายใจเลย  โทรศัพท์ก็แบตหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง  แถมฝนยังตกทั้งวันจนรู้สึกหงุดหงิด   ชายหนุ่มหิ้วเค้กครึ่งก้อนกลับมาให้คนป่วยด้วยตามสัญญา  หวังจะได้รอยยิ้มจากคีย์มาทำให้หายเหนื่อย…

แต่ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องและเปิดไฟ สิ่งที่พบกลับเป็นร่างบอบบางที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟา… มินโฮแทบโยนทุกสิ่งออกจากตัว  และสาวเท้าอย่างรวดเร็วไปหาคนป่วย

“คีย์… ไหวไหม ”

“อือ…”

เสียงครางแผ่วหวิวทำให้มินโฮตกใจ … ยิ่งเห็นสีหน้าซีดเซียว และไอร้อนผ่าวที่ออกมาจากร่าง มินโฮก็ยิ่งร้อนรน  โชคดีที่คีย์ไม่ได้หมดสติ และยังพูดคุยได้รู้เรื่อง  หน้าสวยบิดเบี้ยวและขาวเผือด ปากได้รูปแทบไม่มีสี

มินโฮขยับฝ่ามือไปวัดไข้คร่าว  ๆ ก่อนขมวดคิ้วยุ่งด้วยความเคร่งเครียด

“เป็นแบบนี้ไม่ไหวแล้ว   ไปหาหมอดีกว่านะ… ลุกไหวไหม ไม่งั้นเราจะเรียกรถพยาบาล ”

“ไม่เอา… ” คนป่วยเบือนหน้าหนี พร้อมแบะปาก “ไม่ไป”

“ดื้อ!!”  เขาดุเสียงดัง อยากจะหยิกแก้มแดงเรื่อเพราะพิษไข้ให้รู้สำนึกเสียที

“ไม่ได้ดื้อ… กินยาก็หาย” เสียงแหบพร่าฟังดูไม่พอใจนัก  แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจอยู่แค่ฝ่ายเดียว  มินโฮพ่นลมหายใจแรง และดุแบบไม่สนใจคนป่วย

“แล้วทำไมไม่กิน”

“ก็ไม่รู้ว่ายาอยู่ไหน!!!” คีย์กระแทกเสียง

“ไม่รู้แล้วทำไมไม่โทรหา”

“ก็โทรหาแล้วไม่รับเอาจะมีโทรศัพท์ไปหาพระแสงอะไรเล่า… ดุทำไม.. ทำไมต้องดุด้วย ไอ้หมีบ้า ไปไหนก็ไปเลย ไปเลย”

คนป่วยลุกขึ้นนั่งคว้าหมอนข้างและตุ๊กตาตัวเล็กตัวใหญ่ที่อยู่รอบตัวขว้างปาอีกฝ่ายอย่างแรง  หน้าซีดเซียวแดงก่ำและยับยู่ยี่  ก่อนที่น้ำตาจะไหลทะลักออกมาเปื้อนสองแก้ม  “ไอ้หมีบ้า ฉันเกลียดแก!!! ฮือ”

“คีย์…”

“ไปเลย ไปไกล ๆ เลยไอ้บ้า… ไอ้บ้า ฮึก… ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”

เสียงสะอื้นแทบขาดใจทำให้มินโฮยอมสงบปากสงบคำ คนตัวสูงถอนหายใจเบา .. และขยับรวดเดียวไปกอดร่างบอบบางแน่น   คีย์ที่สะอื้นจนตัวโยน และหายใจแทบไม่ทันดิ้นรนอยู่ครู่เดียวก็หมดฤทธิ์อยู่ภายใต้อ้อมกอดของเขา   อุ่นไอร้อนรุ่มทำให้มินโฮยิ่งกอดแน่นขึ้นอีก  มือเล็ก ๆ กำลังทุบตีเขา  หากเรี่ยวแรงที่น้อยนิดก็แทบทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรเลย

“ขอโทษ”

“ดุทำไม…  ปวดหัวนะ ปวดมากด้วย … ไอ้หมีบ้า  ”

“ขอโทษครับ  ขอโทษ..  ”

“หมีบ้า…หมีหมาบ้า”

“ขอโทษครับ …ผิดไปแล้วครับ… ”  ฝ่ามืออุ่นหนาลูบแผ่นหลังบอบบางช้า… น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเบาปลอบประโลมคนตัวเล็กราวกับกำลังกล่อมทารกให้หลับ

เพียงไม่นานคนป่วยก็หลับตาพริ้ม คีย์ซบหน้าลงบนไหล่ของเขาด้วยพิษไข้ ลมหายใจสม่ำเสมอบอกว่าอาการไข้และความเหนื่อยจากการร้องไห้เมื่อครู่กำลังฉุดให้คีย์จมลึกอยู่ในห้วงนิทรา    มินโฮขยับด้วยความระมัดระวัง ก่อนอุ้มตัวเด็กน้อยในอ้อมกอดขึ้น  ร่างเบาหวิวทำให้เขาแทบไม่ต้องออกแรงขณะก้าวตรงไปที่ห้องนอน

มินโฮชินเสียแล้วกับการดูแลคนป่วยง่าย  ร่างเล็กบอบบางและผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูกทำให้มินโฮต้องคอยหลอกล่อด้วยขนมและอาหารสารพัด  ไม่รวมวิตามินและอาหารเสริมต่าง ๆ ที่สรรหามาประเคนจนถึงปาก เพียงเพื่อจะทำให้คีย์ไม่ป่วยไข้อย่างที่มักเป็นอยู่เสมอ

ร่างสูงวางคนป่วยไว้บนเตียง พร้อมจัดท่าทางให้สบายที่สุด  มือหนาขยับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มาใกล้มือคนตัวเล็ก  มินโฮส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อวัดอุณหภูมิบนหน้าผากมนอีกครั้ง

“บอกแล้วไงว่าอย่าดื้อ… ไข้กลับเลยเห็นไหม?”

            “หมีบ้า!!!”

            มินโฮหน้ายุ่ง เมื่อมือเขาถูกปัดออกอย่างแรง  น้ำเสียงหงุดหงิดและมือที่ปัดป่ายไปมาขัดกับดวงตาที่ปิดสนิทจนทำให้เขานึกขำ

ชายหนุ่มส่ายหน้าอ่อนใจ   ก่อนใช้เวลาเพียงไม่นานในการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อ และเช็ดตัวให้คีย์อย่างใจเย็น  จานข้าวต้มที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งถ้วยยังวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้เขาวางใจปลุกคนป่วยขึ้นมากินยาเพียงเท่านั้น  แต่คีย์ก็งอแงพอควรเมื่อต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  มินโฮเฝ้าดูอาการอยู่เกือบชั่วโมงจึงค่อยวางใจ ทิ้งคนไข้ไปจัดการเก็บกวาดห้อง และทำความสะอาดหน้าประตูที่เลอะเทอะเพราะรองเท้าผ้าใบที่เปียกฝนของเขา

มินโฮมองรองเท้าของคนป่วยที่วางเกะกะอยู่กับพื้นแบบปลง ๆ ผ้ารองเท้าใบคู่เก่งของคีย์เน่าไม่แพ้ของเขา พื้นบริเวณหน้าห้องเองก็เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนทั้งรอยเก่าและใหม่…

เจ้าของร่างสูงใหญ่หรี่ตาเล็กน้อยเมื่ออะไรบางอย่างสะกิดใจจนต้องกวาดสายตาอีกครั้ง

“เฮ้อ… ดื้อ…” มินโฮยิ้ม… หากเป็นยิ้มที่ว่างเปล่า และปราศจากความยินดีใด ๆ

“เพราะดื้อแบบนี้ไง… จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง” ถอนหายใจพลางก้มลงหิ้วรองเท้าเน่า ๆ สองคู่ตรงไปที่ห้องน้ำ  “จะมีใครรักดื้อเท่าเราอีก… ”

มินโฮบ่นพึมพำ  ปลายนิ้วสัมผัสความเย็นเฉียบของรองเท้าทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน … ความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวตั้งแต่เมื่อกลางวันนี้ทำให้เขาหงุดหงิด

มือหนาปิดประตูห้องน้ำ…  ก่อนวางของในมือลงบนพื้น  ดวงตาคมจ้องมองมันด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า

รองเท้าที่เปรอะเปื้อน เปียกชุ่ม… และสภาพย่ำแย่ไม่ต่างจากเจ้าของ…

“ไม่มีหรอก… ก็เรารักดื้อขนาดนี้นี่นา”’

รองเท้าที่ลุยฝนมาทั้งวัน

กว่าจะซักให้สะอาด… ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่นะ

ไม่มีใครรู้นอกจากมินโฮว่าการที่เขาใส่อารมณ์กับเรื่องนี้เพราะอะไร  … เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียจนคิดมากกับเรื่องไร้สาระ   มีเพียงเรื่องคีย์เท่านั้นที่มินโฮใส่ใจ และให้ความสำคัญเหนือเรื่องอื่น…

มินโฮรู้ตัวดี … เกือบสามปีที่ผ่านมา มันไม่ได้นานเลย   แม้จะดูนานสำหรับคนสองคนที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา… แต่คงไม่ได้นานพอที่จะสร้างความรู้สึกบางอย่างให้เกิดขึ้นในใจของคีย์

“รักครั้งแรก… ” เขาพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา … เป็นคำถามที่เขาครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน  “สติแตกหรือไงวะ”

มินโฮสบถแรงกับตัวเอง…  เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…

ขี้หึง ขี้หวง   จนคีย์จับทางได้  และมักเล่นสนุกกับการยั่วให้เขาหึงหวงอยู่เสมอ …

            แต่เฉพาะคำถามนั้น… มินโฮกลับรู้สึกว่าคีย์อาจไม่ใช่แค่เล่นสนุก

            แฟนคนแรก ….รักครั้งแรก …

มินโฮไม่แน่ใจว่าประโยคนั้นคีย์กำลังหมายถึง เขา… กับใครอีกคน …และคนที่ทำให้คีย์ตากฝนจนเปียกปอน…จนมาพบเขาในคืนนั้นคือคน ๆ เดียวกับที่จงฮยอนพูดถึงหรือเปล่า

มินโฮหมุนแหวนเนื้อเกลี้ยงสีเงินบนนิ้วชี้  …

นั่นเป็นความหมายที่คีย์กำลังพยายามบอกเขาอยู่หรือไม่

            ไม่มีใครรู้…

มินโฮชักรำคาญความคิดของตนขึ้นมา  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะรักใครได้มากเท่านี้ … ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะทำทุกอย่างได้ขนาดนี้  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่เพื่อคนเพียงคนเดียว

อยู่ ๆ ก็นึกไปถึงเกือบสามปีแล้ว

วันที่เขาเดินสวนกับร่างบอบบางที่กำลังเดินเข้าห้องเรียน …ความบังเอิญที่มินโฮไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมี

ความบังเอิญที่อาจจะเป็นหนึ่งในร้อย …หรือหนึ่งในล้าน คือเหตุผลข้อสำคัญ…จนทำให้เขาเลือกหันกลับไปหาคนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จักต่อหน้าผู้คนมากมาย   มินโฮเลือกที่จะทำใจยอมรับกับความรู้สึกไม่ดีของอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นั้น

ก่อนเลือกที่จะยอมเป็นคนบอกรัก…

ยอมเป็นคนที่รัก …แค่เพียงฝ่ายเดียว

‘”ไม่ว่ายังไง ดื้อก็ยังจะเลือกเราใช่ไหม”

.

‘มึงไม่เคยได้ยินเหรอ…  รักครั้งแรกน่ะ ต่อให้มีแฟนอีกกี่คนยังไงก็ลืมไม่ได้หรอก’

.

เรื่องบางเรื่อง…ก็ไม่น่าเผลอเข้าไปรู้เลยแม้แต่น้อย

โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ความเชื่อมั่นที่เขาพยายามสร้างมาตลอดต้องพังทลาย…

มินโฮถอนหายใจแรง..

วันนี้ไม่ใช่วันของเขาจริง ๆ ซะด้วยสิ

ฝันร้าย…

คีย์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความมืด … มือสองข้างปะป่ายไปรอบ ๆ กายเมื่อไม่พบอุ่นไอที่คุ้นเคย   คิ้วเข้มขมวดยุ่ง ริมฝีปากแบะออก เขารู้สึกถึงใบหน้ายู้ยี่ของตัวเอง  ที่มินโฮบอกเสมอว่าเหมือนเด็กอนุบาลถูกขัดใจ   คีย์กลิ้งไปอีกฝั่งของเตียงเพื่อสำรวจร่างของคนที่เคยอยู่ข้างกันเสมอ  หากพบเพียงขาขนาดใหญ่ของตุ๊กตาหมียักษ์ไร้ชีวิต ดวงตาเรียวสวยเปิดกว้างและมองผ่านความมืดดำไปรอบ ๆ  กาย  พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งมาจุกอยู่ที่คอ  คีย์ขยับตัวลุกขึ้น แม้จะรู้สึกหนักหัวราวกับมีอะไรมาถ่วงเอาไว้ไม่ให้เขาขึ้นมาจากหมอนได้ก็ตามที

“มินโฮ…”

ร่างเล็กบางก้าวขาลงจากเตียง ก่อนทรงตัวลุกขึ้น  อาการเวียนหัวพุ่งขึ้นมาเล่นงานจนเขาแทบจะก้าวไปไม่ได้  …หากด้วยอะไรบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจ  ทำให้คีย์ตัดสินใจก้าวตรงไปที่ประตูทั้ง ๆ ที่แทบจะทรงตัวไม่ไหว

มือเรียวคว้าลูกบิดและกระชากออกอย่างยากลำบาก  แสงสว่างจ้าจากนอกห้องทำให้คีย์หรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับสายตา  อาการปวดหัวพุ่งมาเล่นงานเขาอีกครั้งจนแทบจะทรุดลงในทันที    คีย์ยึดผนังห้องไว้เป็นหลัก  ขณะมองแผ่นหลังกว้างผึ่งผายบนเก้าอี้ทำงาน  มินโฮกำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือที่อยู่ตรงหน้า  หากชายหนุ่มประสาทสัมผัสไวพอที่จะได้ยินแม้กระทั่งเสียงประตูที่ถูกเปิดออก  ร่างสูงใหญหันมาทันทีด้วยสีหน้าตกใจ

“หมี… ”น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นแผ่วเบา  ก่อนที่ร่างบอบบางจะโผเข้าไปหาคนที่กำลังลุกยืนขึ้นด้วยความรวดเร็วเกินกว่าจะทันได้ตั้งตัว   มินโฮขยับพรวดเดียว  ขายาว ๆ ก็พาร่างสูงมารับคนตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมกอดโดยไว  ท่าทางราวกับไม่มีสติทำให้เขาเกือบคิดว่าคีย์ละเมอเดิน  คีย์เรียกชื่อเขาอีกครั้ง พร้อม ๆ กับแขนเล็กเรียวที่โอบรอบแผ่นหลัง และซบหน้าอยู่บนอกกว้าง

“หมีทิ้งฉันทำไม … อย่าทิ้งนะ…ห้ามทิ้งนะ”

“หือ… ว่าไงนะ  “  มินโฮขมวดคิ้วยุ่ง น้ำเสียงของคีย์สั่นและดังอู้อี้อยู่ในคอจนเขาแทบจับศัพท์เสียงไม่ได้   “ตื่นอยู่หรือเปล่าเนี่ยคีย์ ”

มือหนาลูบเรือนผมสลวยอ่อนโยน  ก่อนค่อย ๆ คลายวงแขนออก เพื่อมองหน้าคนป่วยให้ชัด ๆ   สีหน้าของคีย์แทบไม่ต่างจากก่อนเข้านอน  ทั้งซีดเซียวและยับยู่ยี่ราวกับกระดาษที่ถูกขยำทิ้ง  คนตัวเล็กส่ายหน้าก่อนซุกลงบนอกเขาอีกครั้งพร้อมกับกอดแน่น

“ปวดหัว…”

“ปวดอีกแล้วเหรอ … ”

“อือ…”

“ปวดแบบไหน”

“ข้างนี้…”

“ไมเกรน?”

“อือ” คนป่วยสารภาพ …จนคุณหมอจำเป็นต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอาการป่วยที่รุมเร้าของคีย์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาไม่ยอมหยุด  แม้ว่าใจอยากจะบ่นและตักเตือนคนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเองมากเท่าไหร่  แต่ชายหนุ่มจำเป็นต้องข่มใจไว้ เพราะไม่อยากให้คีย์ต้องงอแงอีก  แค่ตอนนี้ก็เชื่องเป็นแมวหงอยจะแย่แล้ว

“ถ้าปวดหัวก็ต้องนอนพักนะ …รู้ไหม  นอนพักแป้บเดียวก็หาย… ปะ เดี๋ยวพาไปนอน”

“ไม่เอา…” คีย์ส่ายหน้าพรืดอยู่บนอกเขา  เสียงอู้อี้แผ่วหวิวครางงุ้งงิ้งเหมือนลูกแมวอย่างน่าสงสาร “หนาว… ”

“หนาวก็ห่มผ้าไงครับ  เดี๋ยวหมีห่มผ้าให้นะครับ”  มินโฮกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้อย่างเต็มที่ ก่อนจูบเบา ๆ กลางกระหม่อมคนตัวเล็กและกระชับอ้อมกอดแน่น  หากคีย์ดูจะยังไม่พอใจนัก

“ไม่เอา…ไม่อุ่น”

“หือ… ” มินโฮยิ้มกว้าง  และส่ายหน้าด้วยความรู้ทัน   แมวน้อยของเขาขี้อ้อนเสียจนไม่อยากปล่อยให้นอนนิ่ง ๆ เลย  …“อ้อน…”

“อื้อ… ” คีย์ไม่ตอบโต้เมื่อถูกอีกฝ่ายว่าให้   หน้าสวยเงยขึ้นมามองคนสูงกว่าด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำใส ๆ ที่ไหลออกมาเองเพราะพิษไข้  ฝ่ามืออุ่นเลื่อนมาคลึงเบา ๆ ที่โหนกแก้ม   ก่อนที่หน้าคมจะค่อย ๆ ก้มลงต่ำ

คีย์ได้แต่ครางเสียงหวิวอยู่ในคอ เมื่อริมฝีปากหนาบดเบียดลงมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า  มือเล็กเกี่ยวคอเสื้ออีกฝ่ายไว้เพื่อหาหลักยึด  ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลอยพ้นพื้นกระเบื้อง   เรียวแขนเล็กเกาะกอดที่คอแข็งแรงไว้แน่นหนาขณะที่ริมฝีปากทั้งสองยังคงดื่มด่ำกับรสชาติที่ผิดแผกไปจากตอนที่ร่างกายปกติ   ร่างบอบบางแทบหายใจไม่ออกเมื่อเรียวลิ้นรุ่มร้อนแทรกผ่านเข้ามาในโพรงปาก   จูบของมินโฮรุนแรงดุดัน หากอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด   คีย์อ่อนปวกเปียกอยู่ในวงแขนแกร่งที่ช้อนกายเขาไว้ จนร่างเล็กชักไม่แน่ใจ…ว่าอาการร้อนวูบวาบตั้งแต่ปลายเท้านี้มาจากพิษไข้หรือเพราะจูบนี้กันแน่

“หมี… ”

มินโฮตัดสินใจทิ้งกองหนังสือทั้งหมดไว้ข้างนอก และพาเหมียวน้อยขี้อ้อนกลับไปนอนในห้องอย่างอารมณ์ดี  คนตัวเล็กน่ารักผิดปกติจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าป่วยบ่อย ๆ แล้วเป็นแบบนี้จะดีแค่ไหน

ทันทีที่พาทั้งตัวเองและร่างบอบบางขึ้นไปอยู่บนเตียง  เจ้าตัวเล็กก็เบียดเข้ามากอดเขาแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไป  แม้แต่ตุ๊กตาหมียักษ์ตัวใหญ่ที่เคยชอบ ก็ถูกผลักกระเด็นลงไปนอนเอ้งเม้งอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร    มินโฮส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ และกอดตอบพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมสองร่างไว้

“ครับ…”

“รักคีย์ไหม”   โชคร้ายที่มินโฮตัดสินใจไม่เปิดไฟ  เพราะเขาสงสัยเหลือเกินว่าคีย์พูดประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้าแบบไหน   ชายหนุ่มหัวเราะเบา  ลำแขนใหญ่โอบตระหวัดเอวบางเข้ามาแนบชิดกับกล้ามเนื้อแน่นของตัวเอง  ก่อนเคลื่อนริมฝีปากไปกระซิบเบาข้างใบหู

“รักสิ”

“แล้วรักมานานหรือยัง…”

“นานแล้ว…. ” เสียงทุ้มดังชัดถ้อยชัดคำ  หากคนถามกลับแสดงความไม่มั่นใจของตัวเองด้วยการเอ่ยตะกุกตะกักในประโยคต่อมา

“ละ…แล้ว…จะรักอีกนานแค่ไหน”

“ถามแปลก ๆ”

“ฉันก็แค่อยากรู้ว่า…” เสียงหวานแผ่วลงเรื่อย ๆ … “คนเราจะรักคน ๆ นึงไปได้นานแค่ไหนกันแน่นะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน… จนกว่าจะรู้สึกว่ารักไม่ได้แล้วล่ะมั้ง”

“ยังไง?”

“ก็…จนกว่าที่จะรู้สึกว่า  ต่อให้ทำยังไงดื้อก็ไม่มีทางรักเราล่ะมั้ง”

“……”

“เข้าใจไหม”

“ถ้างั้น…ถ้ายังเห็นว่าต่อไปฉันจะรักนายได้…ห้ามทิ้งฉันนะ”

มินโฮชะงักกึกกับประโยคที่ได้ยิน … เขาลอบสูดลมหายใจเขาด้วยความผิดหวัง …    แม้จะรู้มาตลอดว่าคีย์ซื่อสัตย์กับใจตัวเองมากกว่าที่ใคร ๆ คิดก็ตาม….

ถ้าคีย์ไม่มั่นใจ…เขาคงไม่มีวันได้ยินคำ ๆ นั้นจากปากคีย์…

            ‘ถ้ายังเห็นว่าต่อไปฉันจะรักนายได้’

แม้ประโยคนี้จะฟังดูแปลก ๆ ไปบ้าง   แต่อย่างไรก็ตาม… มันบอกเขาว่า  เขายังคงมีหวังอยู่

….หวังที่จะให้คีย์รักในสักวัน

“คีย์ต่างหากล่ะ…”

            คีย์ต่างหาก …ที่อย่าปล่อยให้เขารักอยู่แค่ฝ่ายเดียว

“ถ้าคีย์ไม่ทิ้งเราก่อน…เราจะทิ้งคีย์ได้ไง”

เสียงทุ้มต่ำบอกเขาอย่างมั่นอกมั่นใจ   คีย์ได้ยินแล้วจึงยิ้มกว้าง  ร่างเล็กซุกกายเบียดชิดอีกฝ่ายด้วยความโล่งใจ   ถึงอย่างไรฝันร้ายเมื่อครู่คงไม่มีทางเกิดขึ้น … อาการป่วย และความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันคงจะทำให้เขาเก็บเอาไปคิดวุ่นวายจนออกมาเป็นฝันที่แสนเลวร้ายนั้น

คงเพราะความกลัวว่ามินโฮจะรู้เรื่องที่แอบหนีไปวันนี้ … กลัวว่ามินโฮจะรู้ว่าแอบไปดื่มกาแฟ ทั้ง ๆ ที่ถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้แตะต้อง  … กลัวว่ามินโฮจะรู้จักกับคนที่ขโมยหัวใจเขาไปตั้งแต่หลายปีที่แล้ว และกลัวว่ามินโฮจะรู้…ว่าคีย์รู้สึกอย่างไรกับการพบกันครั้งนี้

“ห้ามทิ้งนะ… สัญญาแล้วนะ”

ถึงจะดูเห็นแก่ตัว ..

แต่คีย์ทนไม่ได้ …หากจะกลายเป็นฝ่ายถูกทิ้งอีกครั้ง…

ก็มินโฮรักเขาขนาดนี้นี่นา

ต่อให้มินโฮรู้ว่าเขารักคนอื่นมาตลอด…. ต่อให้รู้ว่าคีย์กำลังพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดความรักครั้งนั้นอีกครั้ง…   มินโฮก็คงให้อภัย

ไม่มีทาง…ที่มินโฮจะทิ้งเขาไป

ไม่มีทาง